เรื่องราวชีวิตจริง
ตอนต้นยากจน ตอนหลังมั่งคั่ง
ผมเกิดที่กระท่อมไม้ซุงเล็ก ๆ ในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อลิเบอร์ตี รัฐอินเดียนา สหรัฐอเมริกา พ่อแม่ผมมีลูกหลายคน ก่อนผมเกิด พ่อกับแม่ก็มีลูกชายคนหนึ่งและลูกสาว 2 คนอยู่แล้ว หลังผมเกิด พ่อกับแม่ก็มีลูกชายอีก 2 คนและลูกสาวอีก 1 คน
ช่วงที่ผมเรียนหนังสือ เมืองของเรามีแต่อะไรเดิม ๆ ถ้าคุณเรียนโรงเรียนเดียวกับผม เพื่อนในสมัยประถมจนถึงมัธยมก็มีแต่หน้าเดิม ๆ คุณรู้จักชื่อแทบทุกคนในเมืองและพวกเขาก็รู้จักชื่อคุณ
เมืองลิเบอร์ตีเป็นเมืองที่มีไร่เล็ก ๆ ล้อมรอบ ส่วนใหญ่แล้วจะปลูกข้าวโพด ตอนผมเกิด พ่อเป็นคนงานในไร่ พอผมโตขึ้นเป็นวัยรุ่น ผมเรียนขับรถแทร็กเตอร์และทำงานในไร่ด้วย
ผมไม่เคยเห็นพ่อตอนเป็นหนุ่ม ตอนผมเกิดพ่อก็อายุ 56 แล้ว ส่วนแม่อายุ 35 พ่อเป็นคนแข็งแรงและสุขภาพดี พ่อชอบทำงานและสอนลูก ๆ ให้ขยันทำงานด้วย ถึงพ่อจะหาเงินได้ไม่เยอะ แต่ก็มีบ้านให้เราอยู่ มีเสื้อผ้าให้เราใส่ แล้วมีอาหารให้เรากินอิ่ม พ่อจะมีเวลาให้เราเสมอ พ่อผมตายตอนอายุ 93 ส่วนแม่ตายตอนอายุ 86 พ่อกับแม่ไม่ได้เป็นพยานฯ แต่น้องชายคนหนึ่งของผมเป็นพยานฯ และก็เป็นผู้ดูแลที่ซื่อสัตย์ตั้งแต่ปี 1972
ตอนเด็ก ๆ
แม่ผมเป็นคนเคร่งศาสนา แม่จะพาเราไปโบสถ์แบพติสต์ทุกวันอาทิตย์ ตอนอายุ 12 ผมได้ยินคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพเป็นครั้งแรก ผมก็เลยถามแม่ว่า “พระเยซู
จะเป็นทั้งพระบุตรแล้วก็เป็นทั้งพระบิดาในเวลาเดียวกันได้ยังไงครับ?” แม่ตอบว่า “มันเป็นเรื่องลึกลับ ไม่ต้องเข้าใจหรอกลูก” แล้วมันก็เป็นเรื่องลึกลับที่สร้างความงุนงงให้กับผมจริง ๆ ถึงอย่างนั้น พออายุ 14 ผมก็รับบัพติศมาที่ลำธารแถวบ้าน ตอนนั้น ผมโดนจับจุ่มน้ำ 3 รอบ รอบหนึ่งสำหรับพระบิดา รอบสองสำหรับพระบุตร และรอบสามสำหรับพระจิตตอนเรียนมัธยมผมมีเพื่อนเป็นนักมวย เพื่อนชวนผมให้ต่อยมวย ผมก็เลยฝึกต่อยมวย ผมเป็นสมาชิกขององค์กรมวยสหรัฐชื่อโกลเด้น โกลฟ ผมต่อยมวยไม่ค่อยเก่งหรอก พอขึ้นชกได้สองสามครั้งผมก็เลิกแล้ว ต่อมาผมก็ถูกเกณฑ์เข้ากองทัพสหรัฐและถูกส่งไปเยอรมนี ผู้บัญชาการหน่วยส่งผมไปเรียนที่วิทยาลัยทหารเพราะคิดว่าผมคงจะเป็นหัวหน้าหน่วยที่ดีได้ เขาอยากให้ผมมีอาชีพเป็นทหาร แต่ผมไม่อยากเป็น พอเป็นทหารได้ 2 ปีผมก็เลิก ตอนนั้นเป็นปี 1956 หลังจากนั้น ผมได้เข้ากองทัพอีกแบบหนึ่งที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ชีวิตใหม่เริ่มต้น
ก่อนเรียนความจริงผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าลูกผู้ชายตัวจริงควรเป็นยังไง ที่ผมเข้าใจผิดก็เพราะผมได้รับอิทธิพลจากหนังและจากคนรอบตัว ผมคิดว่าผู้ชายที่คุยเรื่องคัมภีร์ไบเบิลมันไม่ค่อยแมนเท่าไหร่ แต่แล้วผมก็ได้เรียนบางอย่างที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป วันหนึ่งตอนผมขับรถเปิดประทุนสีแดงคันเก่งของผมเข้าไปในเมือง มีวัยรุ่นผู้หญิง 2 คนโบกรถผม พวกเธอเป็นน้องสาวของพี่เขยผม แล้วก็เป็นพยานพระยะโฮวา ผมเคยรับหอสังเกตการณ์ กับตื่นเถิด! จากพวกเธอมาก่อนแต่อ่านไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ คราวนี้พวกเธอชวนผมไปร่วมการศึกษาหนังสือประจำประชาคม ซึ่งเป็นการประชุมกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่บ้านของพวกเธอ ผมบอกไปว่าขอคิดดูก่อน สองสาวนั้นยิ้มแล้วก็บอกว่า “สัญญานะ” ผมตอบว่า “สัญญา”
ผมเสียใจที่ไปสัญญาอย่างนั้น แต่ก็ไม่อยากผิดสัญญา คืนนั้นผมเลยไปประชุม พอได้ประชุมผมประทับใจเด็ก ๆ มากที่สุด ไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กพวกนั้นจะรู้พระคัมภีร์ดีขนาดนี้ ผมเคยไปโบสถ์กับแม่ทุกวันอาทิตย์แต่แทบไม่รู้อะไรเลย พอเห็นแบบนี้ผมก็เลยอยากเรียนคัมภีร์ไบเบิล ผมได้ตกลงศึกษา สิ่งแรกที่ผมได้เรียนคือพระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุดชื่อพระยะโฮวา หลายปีก่อนผมเคยถามแม่ว่าพยานพระยะโฮวาเป็นใคร แม่ตอบว่า “พวกนั้นน่ะเหรอ เขานมัสการผู้ชายแก่ ๆ ที่ชื่อยะโฮวา” แต่ตอนนี้ผมตาสว่างแล้ว
ผมก้าวหน้าเร็วมากเพราะรู้ว่าพบความจริงแล้ว หลังจากประชุมครั้งแรกแค่ 9 เดือนผมก็รับบัพติศมาในเดือนมีนาคม 1957 ความคิดของผมเปลี่ยนไป ผมดีใจมากที่รู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลสอนเรื่องการเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง พระเยซูเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของลูกผู้ชาย ท่านเข้มแข็งและแข็งแรงกว่าผู้ชายคนไหนในโลก แต่ท่านไม่เคยไปสู้กับใคร ท่าน “ยอมทนทุกข์” เหมือนที่บอกไว้ล่วงหน้า (อิสยาห์ 53:2, 7) ผมได้เรียนรู้ว่าสาวกแท้ของพระเยซู “ต้องสุภาพอ่อนโยนกับทุกคน”—2 ทิโมธี 2:24
ผมเริ่มเป็นไพโอเนียร์ในปีต่อมาซึ่งก็คือปี 1958 แต่แล้วผมก็ต้องหยุดเป็นไพโอเนียร์ชั่วคราว เพราะอะไรน่ะ
เหรอ? เพราะผมจะแต่งงานกับกลอเรียซึ่งเป็นหนึ่งในสองสาวที่ชวนผมไปศึกษาหนังสือประจำประชาคม ผมไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจแต่งงานกับเธอ ตอนนั้น กลอเรียเป็นเพชรที่ล้ำค่าจริง ๆ และตอนนี้เธอก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ สำหรับผมแล้ว กลอเรียมีค่ามากกว่าเพชรที่มีค่ามากที่สุดในโลก ผมดีใจจริง ๆ ที่ได้แต่งงานกับเธอ เอาล่ะ ตอนนี้ผมจะให้กลอเรียเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง“ฉันมีพี่น้องทั้งหมด 16 คนค่ะ แม่เป็นพยานฯ ที่ซื่อสัตย์ แต่แม่ตายตอนฉันอายุ 14 หลังจากนั้นพ่อก็เริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เนื่องจากเราไม่มีแม่แล้ว พ่อเลยไปคุยกับครูใหญ่ ตอนนั้นพี่สาวฉันเรียนมัธยมปีสุดท้าย พ่อก็เลยขอร้องครูว่าให้ฉันกับพี่สลับกันไปโรงเรียนได้ไหมเพื่อที่ฉันกับพี่จะได้สลับกันอยู่บ้านเลี้ยงน้อง ๆ และทำกับข้าวเพื่อรอกินพร้อมพ่อหลังพ่อเลิกงานตอนเย็น ครูใหญ่ก็อนุญาต ฉันกับพี่สาวทำแบบนี้จนพี่เรียนจบ มีพยานฯ 2 ครอบครัวมาศึกษากับพวกเราที่บ้าน พี่ ๆ น้อง ๆ ของฉันรวมทั้งตัวฉันด้วยทั้งหมด 11 คนเลยได้เข้ามาเป็นพยานฯ ฉันชอบออกประกาศแต่ก็เป็นคนขี้อาย แซมสามีของฉันได้ช่วยฉันตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
ผมกับกลอเรียแต่งงานกันในเดือนกุมภาพันธ์ 1959 และเราก็เป็นไพโอเนียร์ด้วยกันอย่างมีความสุข ในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกันเราเขียนใบสมัครเข้าเบเธล เราสองคนอยากรับใช้ที่สำนักงานใหญ่มาก ๆ พี่น้องซิมมอน เครกเกอร์เป็นคนสัมภาษณ์เรา เขาบอกว่าเบเธลไม่รับคู่สมรสเข้ามาทำงาน มันเป็นนโยบายสมัยนั้น แต่เราก็ยังอยากรับใช้ที่เบเธลอยู่ นานหลายปีกว่าที่ความหวังของเราจะเป็นจริง
เราเขียนจดหมายถึงสำนักงานใหญ่ถามไปว่าจะไปรับใช้ที่ไหนดีที่ไม่ค่อยมีผู้ประกาศ สำนักงานใหญ่ส่งมาให้เราแค่ที่เดียวคือที่ไพน์บลัฟ รัฐอาร์คันซอ สมัยนั้นไพน์บลัฟมีแค่ 2 ประชาคมคือ ประชาคมหนึ่งสำหรับคนผิวขาว อีกประชาคมสำหรับคนผิวดำ เราถูกส่งไปที่ประชาคมสำหรับคนผิวดำซึ่งมีผู้ประกาศแค่ 14 คน
ลำบากเพราะการเหยียดและแบ่งแยกสีผิว
คุณอาจสงสัยว่าทำไมพยานฯ ถึงแบ่งเป็นประชาคมคนผิวขาวกับคนผิวดำ คำตอบคือสมัยนั้นเราไม่มีทางเลือก การที่คนสีผิวต่างกันมาอยู่ร่วมกันถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายของสมัยนั้นและมันจะเกิดความรุนแรงได้ ในหลายแห่งพี่น้องกลัวว่าถ้ามีคนผิวขาวกับคนผิวดำมาประชุมด้วยกันก็จะมีคนเข้ามาพังหอประชุม แล้วก็มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ และถ้าพยานฯ ผิวดำไปประกาศในย่านของคนผิวขาว เขาจะถูกจับและอาจถูกทุบตี ดังนั้น เพื่อให้งานประกาศเป็นไปอย่างราบรื่น เราเลยต้องเชื่อฟังกฎหมายและหวังว่าอีกหน่อยสถานการณ์จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
การประกาศในสมัยนั้นไม่ง่ายเลย ตอนไปประกาศย่านคนผิวดำ ถ้าบังเอิญไปเคาะที่บ้านหลังหนึ่งและมีคนผิวขาวออกมา เราต้องรีบคิดทันทีว่า (1) จะประกาศสั้น ๆ หรือ (2) จะขอโทษแล้วรีบไปบ้านอื่น การประกาศสมัยนั้นเป็นแบบนี้แหละ
ตอนที่ผมกับกลอเรียเป็นไพโอเนียร์ เราต้องทำงานหนักหาเลี้ยงตัวเอง ส่วนใหญ่เราได้ค่าจ้างแค่วันละนิดหน่อย กลอเรียจะทำงานบ้านสองถึงสามบ้าน มีบ้านหนึ่งอนุญาตให้ผมเข้าไปช่วยเธอได้เพื่อกลอเรียจะทำงานในบ้านนั้นเสร็จโดยใช้เวลาแค่ครึ่งเดียว แล้วบ้านนี้ก็ให้อาหารกลางวันกับเราด้วย ผมกับกลอเรียจะแบ่งกันกินก่อนกลับบ้าน แล้วก็มีอีกบ้านหนึ่งที่กลอเรียจะไปทำงานรีดผ้าทุกอาทิตย์ ส่วนผมจะทำสวน ล้างหน้าต่าง และทำงานรอบ ๆ บ้าน ส่วนในบ้านของคนผิวขาวอีกหลังหนึ่ง เราทำงานล้างหน้าต่างด้วยกัน กลอเรียล้างข้างในส่วนผมล้างข้างนอก เราใช้เวลาล้างหน้าต่างทั้งวัน เจ้าของบ้านนั้นเลยเลี้ยงอาหารเที่ยงเราด้วย กลอเรียได้กินในบ้านแต่ไม่ได้กินร่วมกับคนอื่น ส่วนผมต้องกินที่โรงรถ ผมไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องนี้ แล้วอาหารก็อร่อยดี จริง ๆ แล้วครอบครัวนี้นิสัยดีแต่พวกเขาได้รับอิทธิพลจากคนที่อยู่รอบ ๆ ตัว ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนอยู่ที่ปั๊มน้ำมัน พอเติมน้ำมันเสร็จผมก็ถามพนักงานผู้ชายผิวขาวว่าขอให้กลอเรียเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหม เขาจ้องผมแบบโมโหมากแล้วก็บอกว่า “มันล็อก!”
น้ำใจที่เราจำได้ไม่ลืม
ถึงจะต้องเจอกับเรื่องที่ลำบาก แต่เรามีช่วงเวลาดี ๆ กับพี่น้องและเราก็ชอบงานประกาศมาก ตอนที่เรามาถึงไพน์บลัฟครั้งแรกเราพักอยู่กับพี่น้องคนหนึ่งที่เป็นผู้รับใช้ประชาคม ซึ่งเป็นชื่อเรียกผู้ประสานงานคณะผู้ดูแลสมัยนั้น ภรรยาของพี่น้องคนนี้ยังไม่เป็นพยานฯ กลอเรียก็เลยศึกษากับภรรยาเขา ส่วนผมศึกษากับลูกสาวและลูกเขยของเขา ต่อมาทั้งภรรยาของพี่น้องคนนี้กับลูกสาวก็ตัดสินใจรับใช้พระยะโฮวาและรับบัพติศมา
เรามีเพื่อนที่น่ารักหลายคนในประชาคมคนผิวขาว พวกเขาชอบชวนเราไปกินข้าวเย็นที่บ้าน แต่เราก็ต้องไปกันตอนที่มืดแล้ว คนอื่นจะได้ไม่เห็นตอนที่พวกเราอยู่ด้วยกัน กลุ่มเคเคเคหรือชื่อเต็มว่าคูคลักซ์คลานเป็นกลุ่มที่ส่งเสริมการเหยียดผิวและความรุนแรงซึ่งดังมากในสมัยนั้น ผมจำวันฮัลโลวีนวันหนึ่งได้ดี ตอนกลางคืน ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งหน้าระเบียงบ้านและใส่ชุดขาวมีฮู้ดแบบพวกเคเคเค แต่ประสบการณ์ในแง่ลบก็ไม่ได้ทำให้พี่น้องเลิกแสดงน้ำใจต่อกัน ในช่วงฤดูร้อนปีหนึ่ง เราสองคนต้องการเงินเพื่อจะไปประชุมภาค พี่น้องชายคนหนึ่งเลยตกลงจะซื้อรถฟอร์ดปี 1950 ของเรา หนึ่งเดือนต่อมา วันหนึ่งเรากลับมาบ้านหลังจากไปประกาศและนำการศึกษาหลายราย แล้วอากาศก็ร้อนมาก พอถึงบ้าน เราตกใจมากที่เห็นรถฟอร์ดของเราจอดอยู่หน้าบ้านและมีโน้ตเสียบไว้ตรงที่ปัดน้ำฝนเขียนว่า “รถคันนี้เป็นของขวัญจากผม พี่น้องของคุณ”
อีกประสบการณ์หนึ่งเป็นน้ำใจของพี่น้องที่ผมประทับใจมาก ในปี 1962 ผมได้รับเชิญให้ไปเข้าโรงเรียนพระราชกิจที่เมืองเซาท์แลนซิง นิวยอร์ก โรงเรียนนั้นใช้เวลาอบรมหนึ่งเดือน เป็นการอบรมสำหรับผู้ดูแลประชาคม ผู้ดูแลหมวด และผู้ดูแลภาค ตอนนั้นผมตกงานและไม่ค่อยมีเงิน แล้วผมก็ได้ไปสัมภาษณ์งานกับบริษัทเกี่ยวกับโทรศัพท์แห่งหนึ่งในไพน์บลัฟ ซึ่งถ้าผมได้งานนั้นผมจะเป็นคนผิวดำคนแรกในบริษัทนั้น แล้วเขาก็จ้างผมขึ้นมาจริง ๆ ทีนี้ผมจะทำยังไงดีและผมก็ไม่มีเงินไปนิวยอร์กด้วย ตอนนั้นผมคิดจริง ๆ ว่าจะรับงานนั้นและไม่ไปเข้าโรงเรียน ตอนที่ผมกำลังจะเขียนจดหมายถึงเบเธลอยู่พอดี ก็มีบางอย่างเกิดขึ้นซะก่อนซึ่งทำให้ผมไม่มีวันลืมเลย
พี่น้องหญิงคนหนึ่งในประชาคมของเราซึ่งมีสามีที่ไม่เป็นพยานฯ ได้มาเคาะประตูบ้านเราแต่เช้า เธอยื่นจดหมายซองหนึ่งให้เรา ในนั้นมีเงินอยู่เต็ม เธอกับลูก ๆ ตื่นแต่เช้ามืดอยู่หลายอาทิตย์เพื่อจะไปทำงานที่ไร่ฝ้าย เธอกับลูก ๆ ทำงานถอนหญ้า พวกเขาทำแบบนี้เพื่อจะหาเงินให้ผมไปนิวยอร์ก เธอบอกผมว่า “ไปเข้าโรงเรียนเถอะ ไปเรียนให้เยอะ ๆ จะได้กลับมาสอนพวกเรา” จากนั้นผมก็โทรไปบริษัทโทรศัพท์เพื่อบอกว่าจะขอเลื่อนเข้าทำงานไปอีก 5 อาทิตย์ได้ไหม แต่บริษัทไม่ยอม ซึ่งผมก็ไม่สน ผมตัดสินใจแล้ว ตอนนี้พอมองย้อนกลับไปผมดีใจมากที่ตอนนั้นผมไม่ได้เลือกงานนั้น
ผมจะให้กลอเรียเล่าว่าเธอรู้สึกยังไงตอนที่อยู่ไพน์บลัฟ
“ฉันชอบเขตทำงานที่นั่นมากค่ะ ฉันมีนักศึกษา 15 ถึง 20 คน เราไปประกาศตอนเช้า แล้วตอนบ่ายก็นำการศึกษายาวไปจนถึงค่ำ บางทีเรากลับถึงบ้าน 5 ทุ่ม งานรับใช้สนุกมาก ฉันยอมรับเลยว่าฉันไม่อยากเปลี่ยนงานมอบหมาย ฉันไม่อยากไปทำงานเดินหมวด แต่พระยะโฮวาคิดไว้แล้วว่าจะให้ฉันทำอะไร” แล้วพระองค์ก็ทำตามแผนการของพระองค์จริง ๆเป็นผู้ดูแลเดินทาง
ตอนเป็นไพโอเนียร์ที่ไพน์บลัฟ เราได้สมัครเป็นไพโอเนียร์พิเศษด้วย เราสองคนคิดว่าเป็นไปได้สูงที่เราจะได้เป็นไพโอเนียร์พิเศษ เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะเรารู้ว่าผู้ดูแลภาคอยากให้เราไปช่วยประชาคมหนึ่งในเทกซัส เขาอยากให้เราไปเป็นไพโอเนียร์พิเศษที่นั่น และเราก็เห็นด้วยกับเขา เรารอคำตอบนานมาก แต่ไม่มีจดหมายมาที่ตู้ซักที และในที่สุดจดหมายก็มาถึง แต่ปรากฏว่าในจดหมายแจ้งว่าผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลหมวด! ผมต้องเริ่มงานนั้นตั้งแต่เดือนมกราคม 1965 และพี่น้องลีออน วีเวอร์ก็ได้รับการแต่งตั้งพร้อมกับผม พี่น้องลีออนตอนนี้เป็นผู้ประสานงานคณะกรรมการสาขาสหรัฐ
การจะได้เป็นผู้ดูแลหมวดทำให้ผมกังวล หนึ่งปีก่อนหน้านั้นพี่น้องเจมส์ เอ. ทอมป์สัน จูเนียร์เป็นผู้ดูแลภาค เขาได้ประเมินคุณสมบัติผม เขาใจดีมาก เขาบอกว่าผมต้องปรับปรุงตรงไหนบ้างและพูดถึงความสามารถที่ผู้ดูแลหมวดต้องมี พอผมเริ่มทำงานหมวดได้ไม่นาน ผมก็คิดถึงคำแนะนำที่พี่น้องเจมส์เคยให้ คำแนะนำนั้นเป็นประโยชน์กับผมจริง ๆ หลังจากที่ผมได้รับการแต่งตั้ง พี่น้องเจมส์เป็นผู้ดูแลภาคคนแรกที่ผมทำงานด้วย ผมได้เรียนอะไรหลายอย่างจากพี่น้องที่ซื่อสัตย์คนนี้
สมัยนั้นมีการฝึกอบรมให้กับผู้ดูแลหมวดน้อยมาก เช่น ผมจะดูผู้ดูแลหมวดคนหนึ่งทำงานตอนที่เขาเยี่ยมประชาคมหนึ่งอาทิตย์ แล้วอาทิตย์ถัดมาเขาก็ดูผมเยี่ยมอีกประชาคมหนึ่ง และผู้ดูแลหมวดคนนั้นก็จะให้ข้อเสนอแนะและคำแนะนำ พอเสร็จแล้วต่างคนก็ต่างแยกกันไปเยี่ยม ผมจำได้ตอนนั้นผมพูดกับกลอเรียว่า “เขาต้องไปจริง ๆ แล้วเหรอ?” แต่ต่อมาผมก็รู้ว่าสิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือเราจะมีพี่น้องที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้เราเสมอ เขาจะช่วยเรา แต่เราต้องยอมให้เขาช่วย ผมดีใจมากที่ได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องชายที่มีประสบการณ์หลายคน เช่น จากเจ. อาร์. บราวน์ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้ดูแลเดินทาง และจากเฟรด รัสก์ซึ่งเป็นสมาชิกเบเธล
สมัยนั้นมีการเหยียดผิวทั่วประเทศ ครั้งหนึ่งพวกเคเคเคเดินขบวนในเมืองหนึ่งซึ่งเรากำลังเยี่ยมที่รัฐเทนเนสซี ส่วนอีกครั้งหนึ่ง ตอนเราแวะพักเบรกที่ร้านตอนกำลัง
ประกาศ ผมเดินไปเข้าห้องน้ำ มีผู้ชายคนหนึ่งท่าทางอารมณ์เสียและมีรอยสักที่เป็นสัญลักษณ์ของพวกเหยียดผิวเดินตามผมไปที่ห้องน้ำ พี่น้องชายผิวขาวคนหนึ่งเห็นก็เลยตามเข้าไป พี่น้องชายคนนั้นตัวใหญ่กว่าผมและผู้ชายคนนั้นอีก พี่น้องถามผมว่า “พี่น้องเฮิร์ด ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมครับ?” ผู้ชายคนนั้นเลยรีบเดินหนีไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เข้าห้องน้ำด้วยซ้ำ ตลอดหลายปี ผมเห็นสาเหตุจริง ๆ ของการเหยียดผิว มันไม่ใช่เป็นเรื่องของสีผิว แต่เป็นเรื่องของบาปที่เราทุกคนมี และผมก็ได้เรียนรู้ว่า พี่น้องของเราก็คือพี่น้องของเราไม่ว่าเขาจะสีผิวอะไร และถ้าจำเป็นเขาก็พร้อมจะตายแทนคุณตอนหลังมั่งคั่ง
ผมทำงานเป็นผู้ดูแลหมวด 12 ปีและเป็นผู้ดูแลภาคอีก 21 ปี ตลอดเวลาหลายปีนั้นเราเจอเรื่องดี ๆ พรที่ทำให้มั่งคั่งหลายอย่าง และมีประสบการณ์ที่ให้กำลังใจมากมาย และยังมีเรื่องที่ดีมากอีกอย่างหนึ่งสำหรับเราด้วย นั่นคือ ในเดือนสิงหาคม 1997 สิ่งที่เราใฝ่ฝันมานานมากก็กลายเป็นจริง เราได้รับเชิญเข้าเบเธลสหรัฐ เรารอมาตั้ง 38 ปีตั้งแต่เขียนใบสมัครครั้งแรก เดือนกันยายน 1997 เราได้เริ่มเข้ามาทำงานที่เบเธล ตอนแรกเราคิดว่าเบเธลจะให้เรามาทำงานแค่ช่วงสั้น ๆ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่เลย
ช่วงแรกที่ทำงาน ผมทำงานในแผนกการรับใช้ ผมได้เรียนอะไรหลายอย่างจริง ๆ พี่น้องแผนกนี้จะได้จดหมายจากคณะผู้ดูแลและจากผู้ดูแลหมวดทั่วประเทศ คำถามที่ส่งมามีคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ละเอียดอ่อนแล้วก็เป็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องยาก ๆ ผมขอบคุณพี่น้องในแผนกนี้มาก พวกเขาอดทนช่วยฝึกผม ถ้าผมได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่นั่นอีก ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมสามารถเรียนจากพวกเขาได้
ผมกับกลอเรียรักชีวิตในเบเธลมาก เราสองคนชอบตื่นเช้าอยู่แล้ว นิสัยนี้เป็นประโยชน์กับชีวิตในเบเธลจริง ๆ หลังจากที่ผมทำงานในแผนกการรับใช้หนึ่งปี ผมได้เป็นผู้ช่วยคณะกรรมการฝ่ายการรับใช้ของคณะกรรมการปกครอง และในปี 1999 ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกคณะกรรมการปกครอง ผมได้เรียนหลายอย่างจากงานนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมได้เรียนคือพระเยซูคริสต์เป็นผู้นำประชาคม ไม่ใช่มนุษย์คนไหน
เมื่อคิดถึงชีวิตของผมเอง บางครั้งผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนผู้พยากรณ์อาโมสนิด ๆ พระยะโฮวาสังเกตเห็นอาโมสซึ่งเป็นคนเลี้ยงแกะที่ถ่อมตัว เขาทำงานต่ำต้อยซึ่งก็คืองานกรีดผลมะเดื่อป่า และมะเดื่อก็เป็นอาหารของคนยากจน แต่พระยะโฮวาแต่งตั้งอาโมสให้เป็นผู้พยากรณ์ของพระองค์ พระองค์อวยพรเขามากมายตอนที่เขาทำงานมอบหมายนี้ (อาโมส 7:14, 15, เชิงอรรถ) พระยะโฮวาก็สังเกตเห็นผมซึ่งเป็นลูกของชาวไร่ยากจนจากเมืองลิเบอร์ตีรัฐอินเดียนาเหมือนกัน พระยะโฮวาอวยพรผมมากมาย พรของพระองค์ทำให้ผมมั่งคั่ง ซึ่งที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็ยังเล่าไม่ครบ (สุภาษิต 10:22) ชีวิตผมตอนต้นยากจนไม่ค่อยมีอะไร แต่ตอนหลังกลับมีมากมาย พรจากพระยะโฮวาทำให้มั่งคั่งจริง ๆ อย่างที่ผมไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย