รถจักรยานยนต์—อันตรายเพียงไร?
รถจักรยานยนต์—อันตรายเพียงไร?
โดย ผู้สื่อข่าว ตื่นเถิด ในญี่ปุ่น
รถจักรยานยนต์ของซูซูมึกำลังวิ่งอย่างราบรื่น ในทันใดนั้น เขาเห็นรถยนต์คันหนึ่งวิ่งตัดหน้า. สิ่งต่อไปที่เขาเห็นคือ หลังคาบ้านหลังหนึ่งขณะเขาลอยขึ้นไปในอากาศ. เขาตกลงมาโดยเอาหัวและไหล่โหม่งพื้น. รอยแตกตรงกลางหมวกกันน๊อคของเขาแสดงให้เห็นถึงความแรงของการกระแทก. เขารอดตายจากอุบัติเหตุ แต่ขาหักและงอเป็นรูปตัวยู.
อุบัติเหตุของซูซูมึไม่ใช่เรื่องผิดปกติ. หนังสือ เดอะ โกลบ แอนด์ เมล์ ของแคนาดารายงานว่า ระหว่างหนึ่งปีมีชาวอเมริกัน 166,000 คนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์. “ในจำนวนนั้นมี 4,700 คนเสียชีวิต. อีกหลายคนพิการตลอดชีวิต.” แหล่งข่าวเดียวกันกล่าวว่า ในแคนาดาอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นเท่าตัวในช่วงสิบปี. และในญี่ปุ่น ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ 2,575 คนเสียชีวิตในปี 1989. ในจำนวนนี้ มากกว่าร้อยละ 70 เป็นเยาวชนอายุระหว่าง 16-24 ปี ไม่รวมผู้ขี่รถจักรยานติดเครื่อง.
เป็นเช่นไรเมื่อเปรียบเทียบตัวเลขนี้กับสถิติอุบัติเหตุทางรถยนต์? บริษัทประกันภัยอ้างว่าในบางประเทศ การเดินทางในระยะทางที่เท่ากัน อัตราการตายของผู้ขับขี่จักรยานยนต์สูงกว่าผู้ขับรถยนต์ถึงเก้าเท่า. การสูญเสียชีวิตที่มากกว่าเช่นนี้มีสาเหตุมาจากอะไร? หนังสือ คอนซูเมอร์ รีพอร์ตส์ ให้เหตุผลไว้สามประการ: (1) มองเห็นรถจักรยานยนต์ยากกว่ารถยนต์. (2) รถจักรยานยนต์ให้การคุ้มครองเพียงเล็กน้อยแก่ผู้ขับขี่หรือไม่ให้เลย. (3) การควบคุมบังคับรถจักรยานยนต์ค่อนข้างยาก—ถ้าเกิดการลื่นไถล ก็มักจะคว่ำ. ไม่แปลกที่หลายคนรู้สึกว่ารถจักรยานยนต์อันตราย. คนอื่นไม่เห็นด้วย. พวกเขาบอกว่าการขี่รถจักรยานยนต์มีข้อได้เปรียบ. คุณล่ะคิดอย่างไร?
จริงทีเดียว ในแง่ของการขนส่งแบบประหยัดสิ่งที่เหนือกว่ารถจักรยานยนต์ หาได้ยาก. การประหยัดน้ำมันเป็นสัญลักษณ์เด่น. คอนซูเมอร์ รีพอร์ตส์ กล่าวว่า คุณสามารถขี่รถจักรยานยนต์ขนาดกลางเป็นระยะ 25-30 กิโลเมตรด้วยน้ำมันเพียง 1 ลิตร. นอกจากนั้น รถจักรยานยนต์มียางเพียงสองเส้น. ข้อได้เปรียบอื่น ๆ ก็คือ: การขับขี่สะดวก, ไม่มีปัญหาเรื่องที่จอดรถ, ราคาต่ำกว่ารถยนต์มาก. ถึงกระนั้นบางคนที่สามารถซื้อรถยนต์ราคาแพงมาขับได้ ก็ยังชอบรถจักรยานยนต์มากกว่า. ทำไม?
สิ่งสำคัญที่ดึงดูดใจ
คนรักรถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่ยอมรับว่า สิ่งดึงดูดใจอันสำคัญที่สุดของรถจักรยานยนต์ คือความตื่นเต้นที่ได้จากการขับขี่. ผู้คลั่งไคล้จักรยานยนต์คนหนึ่งกล่าวว่า “อาจเป็นเสียงของมัน. เสียงคำรามของเครื่องยนต์สองสูบของอังกฤษ, เสียงหอนของเครื่องยนต์สองจังหวะหลายสูบของญี่ปุ่น หรือเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์หลายสูบแบบสี่จังหวะ—ทั้งหมดนี้ประดุจเสียงดนตรีสำหรับผู้รักรถจักรยานยนต์.
สำหรับผู้ขับขี่คนอื่น รถจักรยานยนต์ให้ความรู้สึกแห่งอิสรภาพและการได้บังคับควบคุม. คนหนึ่งกล่าวว่า ‘มันน่าตื่นเต้นที่รู้สึกว่าเครื่องจักรอยู่ข้างใต้คุณ, ที่ทราบว่ามันจะสนองตอบต่อการคิดนึกในใจหรือคำสั่งตามต้องการ, การทิ้งตัวไปตามทางโค้งและรู้ว่ามันจะพาคุณไปถึงที่หมายอย่างวางใจได้.’ การผสมผสานกันระหว่างเสียง, ความเร็ว, และความเป็นอิสระนี้อาจชวนใจคุณด้วย. แต่มีอันตรายอยู่อย่างหนึ่ง. ความน่าตื่นเต้นนี้อาจกลายเป็นการเสพย์ติด.
เป็นอันตรายโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกวัยรุ่น. “คุณรู้สึกตกใจเมื่อเห็นทางโค้งที่หักมาก ๆ” อดีตสมาชิกแก๊งมอเตอร์ไซค์คนหนึ่งกล่าว “แต่ความรู้สึกเสียวในการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงโดยไม่ลื่นไถลนั้นสร้างอารมณ์ตื่นเต้น. ผมเคยเสาะหาทางหักโค้งมากขึ้นเรื่อย ๆ และเข้าโค้งนั้นด้วยความเร็วที่สูงขึ้น ๆ.” โยชิโอะผู้ซึ่งเคยคลั่งไคล้รถจักรยานยนต์กล่าวว่า “ผมเคยขี่ ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก เพราะทำให้ผมรู้สึกเคลิบเคลิ้ม. สำหรับผมแล้วเปรียบเสมือนยาเสพย์ติด.” และซูซูมึที่กล่าวถึงตอนต้นพูดว่า “ผมไม่ใยดีว่าจะตายหรือจะเป็น—ผมต้องขี่ให้ได้.” ดังนั้น แม้แต่ก่อนถอดเฝือกออกเขากลับไปขี่อีก. เขายอมรับว่า “ผมติดจริง ๆ.”
‘ฉันควรขี่รถจักรยานยนต์ไหม?’
ดังนั้น จงชั่งดูสิ่งดึงดูดใจเหล่านี้และความปลอดภัยซึ่งกันและกันเมื่อคุณพิจารณาเรื่องการขี่รถจักรยานยนต์. และถ้าคุณเป็นคริสเตียนผู้ซึ่งเห็นคุณค่าการมีสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาดและนับถือคัมภีร์ไบเบิล มีข้อคัมภีร์บางข้อซึ่งคุณควรพิจารณาดู.
ตัวอย่างเช่น สุภาษิต 6:16, 17 ระบุเจ็ดสิ่งที่พระยะโฮวาทรงชัง. หนึ่งในนั้นคือ “มือที่ประหารคนไม่มีผิดให้โลหิตตก.” กฎหมายข้อหนึ่งที่ให้ไว้กับชาติยิศราเอลโบราณบอกให้เราทราบมากขึ้นเกี่ยวกับทัศนะของพระยะโฮวาในเรืองการทำให้โลหิตของผู้บริสุทธิ์ตก. กฎข้อนั้นระบุว่า “แต่หากว่าโคนั้นเคยขวิดคนมาก่อนและมีผู้มาแจ้งความให้เจ้าของทราบแล้ว แต่เจ้าของมิได้กักขังมันไว้ มันจึงได้ขวิดชายหญิงถึงตาย จงเอาหินขว้างโคนั้นเสียและจงลงโทษเจ้าของ ตายตกไปตามกันด้วย.” (เอ็กโซโด 21:29) พูดอีกทำนองหนึ่งก็คือ เราต้องรับผิดชอบต่อทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เป็นของเรา.
ดังนั้น ถ้าคุณคิดมีรถจักรยานยนต์สักคันหนึ่ง คุณจะใช้รถอย่างไรและรถแบบใดที่คุณจะเลือก? คุณจะเลือกหนึ่งในบรรดารถจักรยานยนต์พลังแรงที่มีอันตรายแฝงซึ่งได้ออกแบบเพื่อความเร็วสูงและมักจะเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุอันถึงแก่ความตายไหม? ถ้าเช่นนั้น คุณจะพ้นจากความผิดฐานทำให้โลหิตตกไหมถ้าคุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ? แม้คุณอาจไม่ทำอันตรายต่อผู้อื่น แต่จะว่าอย่างไรกับชีวิตของคุณเอง? คุณจะแสดงความนับถือต่อของประทานแห่งชีวิตไหมถ้าคุณเร่งความเร็วไปตามทางโค้งอันตรายเพียงเพื่อรู้สึกตื่นเต้น?
หลักการนี้ประยุกต์ใช้ได้ด้วยกับการบำรุงรักษารถจักรยานยนต์ถ้าคุณมีอยู่หรือถ้าคุณคิดจะซื้อ. รถจักรยานยนต์ของคุณอาจกลายเป็น ‘โคที่ขวิดคน’ โดยปริยาย ถ้าคุณไม่รักษาห้ามล้อให้อยู่ในสภาพใช้การได้. นอกจากนั้น ทุกครั้งที่คุณจะขี่รถจักรยานยนต์ คุณควรตรวจสอบโซ่และเครื่องยนต์เสียก่อน. และจะว่าอย่างไรกับการรบกวนเพื่อนบ้านด้วยการขับขี่แบบบ้าระห่ำและส่งเสียงดัง?
จริงอยู่ ถ้าคุณคลั่งไคล้รถจักรยานยนต์ คุณอาจรักเสียงของเครื่องยนต์นั้น แต่ไม่ใช่ทุกคนร่วมความรู้สึกเช่นนั้นกับคุณ. ที่จริงแล้ว เป็นที่ทราบกันว่าเสียงนั้นทำให้บางคนรำคาญจนกระทั่งเขาลงมือจัดการอย่างรุนแรง. หนังสือ นาระ ชิมบุน รายงานว่าชายผู้โกรธแค้นคนหนึ่งในญี่ปุ่นปาท่อนไม้เข้าใส่จักรยานยนต์ที่วิ่งผ่านไป. คนขับเป็นสมาชิกแก๊งมอเตอร์ไซค์อายุ 16 ปีเสียชีวิต หนังสือพิมพ์ อาซาฮิ ซิมบุน กล่าวว่า อีกคนหนึ่ง
ขึงเชือกขวางเส้นทางที่แก๊งมอเตอร์ไซค์ชอบผ่านบ่อย ๆ. เชือกรั้งเข้าที่คอนักบิดคนหนึ่งและรัดคอจนเสียชีวิต. เมื่อหนังสือพิมพ์นั้นเชิญผู้อ่านแสดงถึงความรู้สึกที่เขามีต่อมลภาวะทางเสียงของรถจักรยานยนต์ บางคนถึงกับเข้าข้างผู้ที่ลงมือทำสิ่งดังกล่าวต่อนักบิดมอเตอร์ไซค์เสียด้วยซ้ำ.แน่นอน คัมภีร์ไบเบิลตำหนิการกระทำอันรุนแรงเช่นนั้น. แต่ในอีกแง่หนึ่ง ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่ควรจะยั่วโทสะผู้อื่นโดยการขับรถไปมาบริเวณชุมชนพักอาศัยโดยไม่มีไส้กรองเสียงเช่นแก๊งมอเตอร์ไซค์ทำกันบางครั้ง. ว่ากันที่จริง เราควรปรารถนาจะทำตามกฎที่พระเยซูคริสต์ให้ไว้กับเหล่าสาวก: “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง.”—มัดธาย 22:39.
มีสติสัมปชัญญะ
นี่หมายความว่าคุณไม่ควรขี่รถจักรยานยนต์ไหม? ไม่ใช่ แต่ต้องมีสติสัมปชัญญะ. สำหรับหลายคนรถจักรยานยนต์เป็นสิ่งซึ่งพอจะซื้อหาได้, สะดวก, และเป็นวิธีที่เพลินใจในการไปไหนมาไหน. อย่างไรก็ดี ในบางประเทศผู้คนใช้รถจักรยานยนต์เพื่อการนันทนาการเป็นส่วนใหญ่. นั้นอาจนำมาซึ่งความสนุกสนาน แต่ต้องระวัง. อย่าปล่อยให้ความหลงใหลในความเร็วและแรง ครอบงำวิจารณญาณอันสุขุม.
บางคนที่เคยมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อรถจักรยานยนต์ของเขาแต่อย่างเดียวได้ทำการเปลี่ยนแปลง. เดี๋ยวนี้เขามุ่งชีวิตของเขาไปยังการทำให้พระเจ้าพอพระทัย. ตัวอย่างเช่น โยชิโอะเคยขับรถจักรยานยนต์แรงสูง. ปัจจุบันเขากล่าวว่า “เมื่อผมขับเพื่อความตื่นเต้น ผมทำให้พอใจแค่ตัวผมเอง. เดี๋ยวนี้ ผมมีความชื่นชมในการให้โดยทำงานเป็นผู้สอนฝ่ายคริสเตียน.” เนื่องจากรู้ว่าเขาไม่อาจบังคับตัวได้ถ้าขึ้นขี่รถจักรยานยนต์ โยชิโอะจึงไม่ต่อใบอนุญาตขับขี่ของเขา.
อดีตสมาชิกแก๊งมอเตอร์ไซค์คนหนึ่งในฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ระลึกว่า “ผมเคยขี่รถจักรยานยนต์เพื่อโอ้อวด. ผมหลงอยู่กับการใช้ยาเสพย์ติดซึ่งเป็นผลจากการคบหาสมาคมที่ไม่ดีกับสมาชิกแก๊งมอเตอร์ไซค์.” แต่เขาเริ่มคิดเกี่ยวกับอนาคต. เขาพิจารณาดูกลุ่มศาสนาต่าง ๆ และพบความจริงในที่สุดด้วยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา.
และซูซูมึล่ะเป็นอย่างไร? สำหรับเขาแล้วการขี่รถจักรยานยนต์หาใช่จุดศูนย์กลางแห่งชีวิตอีกต่อไปไม่. ซูซูมึ พร้อมทั้งผู้คลั่งไคล้รถจักรยานยนต์อีกสองคนที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ ปัจจุบันทำงานฐานะผู้สอนฝ่ายคริสเตียนเต็มเวลา. คนหนึ่งในพวกเขาได้เปลี่ยนรถจักรยานยนต์คันใหญ่ของเขามาเป็นรถจักรยานติดเครื่อง และใช้ในการเผยแพร่ความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิลแก่ผู้อื่น.
ใช่แล้ว รถจักรยานยนต์อาจเป็นพาหนะอันทรงประสิทธิภาพ แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง และด้วยความเคารพต่อความรู้สึกของผู้อื่นตลอดเวลา.
[กรอบหน้า 14]
คำแนะนำด้านความปลอดภัย สำหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์
▪ จงขับขี่ด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด: การบังคับทิศทาง, การเร่งเครื่อง และการห้ามล้อเรียกร้องความชำนาญและการประสานงานในระดับสูง.
▪ หลีกเลี่ยงการขับรถกลางช่องทาง: บริเวณนั้นเป็นที่ ๆ เศษดินทราย และน้ำมัน ซึ่งหล่นจากรถมักสะสมไว้.
▪ สวมอุปกรณ์แต่งกายที่เหมาะสม: อย่าลืมสวมหมวกกันน็อก. ถุงมือ เสื้อแจ๊กเก็ต และรองเท้าบูทจะป้องกันคุณเช่นกัน.
▪ เปิดไฟหน้ารถเสมอเมื่อขับขี่: ถ้ากฎจราจรในประเทศของคุณอนุญาต จงทำเช่นนี้แม้ในเวลากลางวัน. สิ่งนี้จะทำให้ผู้ขับขี่รถคันอื่นมองเห็นคุณชัดยิ่งขึ้น.
▪ ติดเทปสะท้อนแสงที่หมวกกันน็อกของคุณ: สิ่งนี้ทำให้มองเห็นคุณชัดมากขึ้นในเวลากลางคืน.
▪ ขับขี่แบบป้องกันตัวเอง: อย่าคาดว่าผู้ขับยวดยานคนอื่นจะให้ทางแก่คุณ.
▪ อย่าขี่รถจักรยานยนต์เมื่ออยู่ภายใต้ฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือยาเสพย์ติด
▪ เลือกรถจักรยานยนต์ที่คุณสามารถควบคุมได้