พ่อ—เหตุผลที่พวกเขาจากไป
พ่อ—เหตุผลที่พวกเขาจากไป
“ผมจำไม่ได้ว่าพ่อกับแม่ตีกันหรือทะเลาะกัน. เท่าที่ผมจำได้คือพ่ออยู่บ้าน และแล้ว—จู่ ๆ—วันหนึ่งพ่อก็จากไป! ผมไม่รู้ว่าพ่ออยู่ที่ไหนจนกระทั่งทุกวันนี้. ผมรู้แต่เพียงว่าผมรู้สึกเฉย ๆ กับพ่อ.”—บรูซ.
“ที่โรงเรียนมีฉันคนเดียวที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน และฉันก็ไม่มีบ้านเป็นหลัง . . . ฉันรู้สึกเสมอว่าตัวเองเป็นเหมือนแกะดำ. ฉันรู้สึกเสมอว่าแตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกัน.”—แพทริเซีย.
วิกฤตการณ์เรื่องครอบครัวไร้พ่อมีรกรากมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม. เมื่องานที่โรงงานเริ่มดึงดูดพวกผู้ชายให้ห่างไกลจากบ้านของตน อิทธิพลของพ่อในครอบครัวก็เริ่มลดลง และแม่ก็เข้ามามีส่วนมากขึ้นในการเลี้ยงดูลูก. * อย่างไรก็ตาม พ่อส่วนใหญ่ยังคงอยู่กับครอบครัว. แต่ในช่วงกลางทศวรรษ 1960 อัตราการหย่าร้างในสหรัฐเริ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ. เครื่องกีดขวางทางศาสนา, เศรษฐกิจ, และสังคมที่เคยช่วยยับยั้งการหย่าร้างเริ่มพังทลาย. โดยถูกกระตุ้นจากคำแนะนำของบรรดาผู้ที่ประกาศตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญซึ่งยืนยันว่า การหย่าร้างไม่เพียงไม่ก่อความเสียหายต่อลูก ๆ เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วยังอาจเป็นประโยชน์ ต่อพวกเขาด้วยซ้ำ คู่สมรสหลายคู่จึงเลือกการหย่าร้างในอัตราที่มากเป็นประวัติการณ์. หนังสือครอบครัวแตกแยก—สิ่งที่เกิดกับลูกเมื่อพ่อแม่แยกทางกัน (ภาษาอังกฤษ) โดยแฟรงก์ เอฟ. เฟอร์สเตนเบิร์ก จูเนียร์ และ แอนดรูว์ เจ. เชอร์ลิน บอกว่า “ในเบลเยียม, ฝรั่งเศส, และสวิตเซอร์แลนด์ อัตรา [การหย่าร้าง] เพิ่มขึ้นสองเท่า [ตั้งแต่ทศวรรษ 1960] ขณะที่แคนาดา, อังกฤษ, และเนเธอร์แลนด์ เพิ่มขึ้นสามเท่า.”
แม้ตามปกติแล้วลูกจะอยู่กับแม่หลังการหย่าร้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้เป็นพ่อที่แยกทางไปต้องการรักษาสายสัมพันธ์กับลูกไว้. การเป็นผู้ปกครองร่วมกันเป็นวิธีแก้อย่างหนึ่งที่หลายคนนิยม. แต่น่าแปลก พ่อส่วนใหญ่ที่หย่าร้างไปแทบไม่ได้รักษาการติดต่อกับลูกของตนไว้เลย. การสำรวจหนึ่งเผยว่า เด็กเพียง 1 ใน 6 คนเท่านั้น
ที่เห็นพ่อของตนทุกสัปดาห์หลังจากที่พ่อหย่ากับแม่แล้ว. เด็กเกือบครึ่งไม่เคยเห็นพ่อของตนตลอดทั้งปี!การเป็นผู้ปกครองร่วมกันล้มเหลว
เพื่อคู่สมรสที่หย่ากันจะปกครองลูกร่วมกันได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือและความไว้วางใจกันอย่างมาก ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้มักจะขาดไป. นักวิจัยชื่อเฟอร์สเตนเบิร์กและเชอร์ลินพูดอย่างนี้: “เหตุผลหลักที่ว่าทำไมผู้เป็นพ่อจึงหยุดไปเยี่ยมลูกก็คือ เขาไม่อยากข้องเกี่ยวกับอดีตภรรยาของตน. และผู้หญิงหลายคนก็มีทัศนะต่ออดีตสามีอย่างนี้เช่นกัน.”
จริงอยู่ พ่อหลายคนที่หย่าร้างไปเยี่ยมลูกของตนเป็นประจำ. แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของลูกอีกต่อไป จึงเป็นเรื่องยากที่บางคนจะปฏิบัติตัวเฉกเช่นบิดาเมื่ออยู่กับลูก. หลายคนทำตัวเป็นเพื่อนเล่น โดยใช้เวลาแทบทั้งหมดที่อยู่กับลูกไปกับนันทนาการหรือชอปปิง. อารี วัยสิบสี่ปีพรรณนาถึงการมาเยี่ยมของพ่อตอนสุดสัปดาห์ดังนี้: “ไม่มีตารางเวลาที่แน่นอนว่าจะทำอะไร ไม่มีการวางกฎเกณฑ์ว่า ‘จะต้องกลับบ้านไม่เกินห้าโมงครึ่ง.’ ทำอะไรก็ได้. มีอิสระเต็มที่. และคุณพ่อซื้อของขวัญให้ผมเสมอ.”—จากหนังสือความรู้สึกเมื่อพ่อแม่หย่ากัน (ภาษาอังกฤษ) โดยจิลล์ เครเมนตส์.
บิดาผู้เปี่ยมด้วยความรักควร ‘รู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน.’ (มัดธาย 7:11) แต่ของขวัญไม่อาจแทนที่การชี้นำและการอบรมสั่งสอนที่จำเป็นได้เลย. (สุภาษิต 3:12; 13:1) เมื่อคนเราทำตัวเป็นเพื่อนเล่นหรือผู้มาเยี่ยมแทนการทำตัวเป็นพ่อ สายสัมพันธ์ฉันพ่อลูกก็คงต้องเสื่อมลง. การวิจัยรายหนึ่งลงความเห็นดังนี้: “การหย่าร้างอาจทำให้สายสัมพันธ์ฉันพ่อลูกขาดสะบั้นอย่างถาวร.”—วารสารเพื่อชีวิตสมรสและครอบครัว (ภาษาอังกฤษ) ฉบับพฤษภาคม 1994.
ความปวดร้าวและความโกรธที่ถูกตัดออกไปจากชีวิตของลูก—หรืออาจแค่ได้รับการปฏิบัติอย่างเฉยเมยเย็นชา—ทำให้ผู้ชายบางคนทิ้งครอบครัวของตน และไม่ได้ให้การอุปการะด้านการเงินที่จำเป็น. * (1 ติโมเธียว 5:8, ล.ม.) เด็กวัยรุ่นผู้เต็มไปด้วยความขมขื่นคนหนึ่งบอกว่า “ไม่มีอะไรในตัวพ่อที่ผมชอบเลย. เขาออกไปจากชีวิตของผมจริง ๆ ไม่อุปการะหรือทำอะไร ๆ ให้พวกเราสักนิดเดียว และผมคิดว่าแย่มาก.”
บิดามารดาที่ไม่ได้สมรสกัน
ลูกนอกกฎหมายที่มีมากเป็นประวัติการณ์เป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดที่ทำให้จำนวนเด็กไร้พ่อเพิ่มมากขึ้น. หนังสืออเมริกาไร้พ่อ (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “ปัจจุบันประมาณหนึ่งในสามของเด็กทั้งหมดที่เกิดใน [สหรัฐ] เป็นลูกนอกสมรส.” จากทารกประมาณ 500,000 คนที่เกิดแต่ละปี ซึ่งเป็นลูกของผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ถึง 19 ปี 78 เปอร์เซ็นต์เป็นลูกของวัยรุ่นที่ยังไม่ได้สมรส. แต่การตั้งครรภ์ของวัยรุ่นเป็นปัญหาทั่วโลก. และโครงการที่อบรมเรื่องการคุมกำเนิดหรือสนับสนุนการงดเว้นทางเพศ ก็แทบไม่ได้ทำให้บรรดาวัยรุ่นเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศ.
หนังสือพ่อวัยรุ่น (ภาษาอังกฤษ) โดยไบรอัน อี. โรบินสัน อธิบายว่า “การตั้งครรภ์นอกสายสมรสไม่น่าอายและไม่ถูกประณามเหมือนในช่วงทศวรรษ 1960 อีกต่อ
ไป เพราะทัศนคติของผู้คนในเรื่องเพศและการตั้งครรภ์ก่อนการสมรสเป็นแบบเสรีนิยมมากขึ้น. . . . อีกทั้งเยาวชนในปัจจุบันก็ถูกกระหน่ำด้วยเรื่องกามารมณ์เป็นประจำโดยการโฆษณา, ดนตรี, ภาพยนตร์, และโทรทัศน์. สื่อโฆษณาในอเมริกาบอกพวกวัยรุ่นว่าเพศเป็นเรื่องโรแมนติก, น่าตื่นเต้น, และเพิ่มรสชาติให้ชีวิต โดยไม่เคยพูดถึงผลพวงในชีวิตจริงของพฤติกรรมทางเพศแบบหุนหันพลันแล่นและขาดความรับผิดชอบ.”วัยรุ่นหลายคนดูเหมือนเริงร่าไม่ตระหนักถึงผลพวงของเพศสัมพันธ์แบบลักลอบ. ลองสังเกตความเห็นบางอย่างที่นักเขียนชื่อ โรบินสัน ได้ยินมาดังนี้: “‘ดูเธอไม่ใช่คนที่จะท้องได้ง่าย ๆ’; ‘เรามีเพศสัมพันธ์สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น’; หรือ ‘ผมไม่คิดว่าแค่เพศสัมพันธ์ครั้งแรกจะทำให้คุณท้องได้.’” แน่นอน เด็กหนุ่มบางคนรู้อยู่แก่ใจว่าการมีเพศสัมพันธ์ยังผลให้ตั้งครรภ์ได้. หนังสือพ่อรุ่นเยาว์ที่ไม่ได้สมรส (ภาษาอังกฤษ) ให้ข้อสังเกตว่า “สำหรับเด็กหนุ่มหลายคน [ที่อยู่ในตัวเมือง] เพศสัมพันธ์เป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของสถานภาพทางสังคมในท้องถิ่น; การได้พิชิตความสาวของผู้หญิงกลายเป็นเครื่องบ่งบอกความสำเร็จ. เด็กสาวหลายคนเสนอเพศสัมพันธ์เป็นข้อแลกเปลี่ยนเพื่อให้เด็กหนุ่มสนใจ.” ชุมชนบางแห่งในตัวเมือง เด็กหนุ่มที่ไม่ได้เป็นพ่อคนอาจถึงกับถูกล้อเลียนที่ยังเป็นคน “บริสุทธิ์”!
สภาพการณ์ยิ่งมืดมนมากขึ้นเมื่อคุณพิจารณาผลการศึกษาวิจัยในปี 1993 เกี่ยวด้วยมารดาที่อยู่ในวัยเรียนในแคลิฟอร์เนีย. การวิจัยเผยว่า สองในสามของเด็กผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่ใช่โดยเพื่อนชายวัยรุ่น แต่โดยผู้ชายวัย 20 ปีขึ้นไป! ที่จริง การศึกษาวิจัยบางรายชี้ว่า มารดาวัยรุ่นหลายคนที่ไม่ได้สมรสเป็นเหยื่อของการข่มขืนกระทำชำเราผู้เยาว์—หรือกระทั่งการทำร้ายเด็กทางเพศ. การแสวงประโยชน์ที่มีดาษดื่นนี้เผยให้เห็นว่าสังคมสมัยปัจจุบันเหลวแหลกและเสื่อมทรามสักเพียงไร.—2 ติโมเธียว 3:13.
สาเหตุที่เด็กหนุ่มจากไป
มีน้อยมากที่วัยรุ่นซึ่งเป็นพ่อของเด็กจะให้การดูแลรับผิดชอบระยะยาวแก่ลูกของตน. เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งเพื่อนหญิงของเขาตั้งครรภ์ บอกว่า “ผมก็แค่พูดกับเธอว่า ‘ไปละ.’” อย่างไรก็ตาม บทความหนึ่งในวารสารผู้เชี่ยวชาญด้านชีวิตครอบครัว (ภาษาอังกฤษ) ชี้ว่า “พ่อรุ่นเยาว์ส่วนใหญ่แสดงความปรารถนาแรงกล้าที่จะมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกของตน.” ตามการศึกษาวิจัยรายหนึ่งเกี่ยวด้วยพ่อรุ่นเยาว์ที่ไม่ได้สมรสเผยว่า 70 เปอร์เซ็นต์ไปเยี่ยมลูกของตนสัปดาห์ละครั้ง. บทความนั้นให้ข้อสังเกตว่า “แต่เมื่อลูกของเขาโตขึ้น อัตราการเยี่ยมก็ลดลง.”
พ่อวัย 17 ปีคนหนึ่งให้เหตุผลว่าเป็นเช่นนี้เพราะเหตุใด เขาสรุปว่า “ถ้าเพียงแต่ผมรู้ว่ามันจะยุ่งยากอย่างนี้ ผมคงไม่มีวันปล่อยให้เกิดขึ้นหรอก.” มีหนุ่มสาวไม่กี่คนที่มีความอาวุโสทางอารมณ์หรือมีประสบการณ์ในการรับมือกับข้อเรียกร้องของการเป็นบิดามารดา. อีกทั้งมีน้อยคนเช่นกันที่มีการศึกษาหรือมีทักษะที่จำเป็นต่อการทำมาหาเลี้ยงชีพ. แทนที่จะทนรับความอับอายที่ผิดพลาดไป เด็กหนุ่มหลายคนทิ้งลูกของตนไปดื้อ ๆ. พ่อรุ่นเยาว์คนหนึ่งสารภาพว่า “ชีวิตของผมเต็มไปด้วยปัญหาและความยุ่งยาก.” อีกคนครวญว่า “ผมดูแลตัวเองแทบไม่ได้อยู่แล้ว ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรถ้าต้องมาดูแล [ลูกชาย] เข้าอีกคน.”
องุ่นเปรี้ยว
ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล ชาวยิวมีภาษิตว่า “พ่อแม่กินองุ่นเปรี้ยว แต่ลูกเป็นผู้เข็ดฟัน.” (ยะเอศเคล 18:2, ฉบับแปลทูเดส์ อิงลิช) พระเจ้าตรัสแก่พวกยิวว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น ความผิดพลาดในอดีตไม่จำเป็นต้องเกิดซ้ำอีกในอนาคต. (ยะเอศเคล 18:3) กระนั้น เด็กหลายล้านคนในปัจจุบันดูเหมือนกำลังลิ้มรสความขมขื่นจาก “องุ่นเปรี้ยว” ที่พ่อแม่ของตนกิน กล่าวคือ ได้รับความเสียหายจากความอ่อนเยาว์, ความไม่รับผิดชอบ, และความล้มเหลวในชีวิตสมรสของพ่อแม่. การศึกษาวิจัยมีแต่จะแสดงให้เห็นอย่างท่วมท้นว่า เด็กที่เติบโตโดยไม่มีพ่อต้องเผชิญอันตรายอย่างมหันต์ทั้งทางกายและอารมณ์. (ดูกรอบหน้า 7.) ที่น่าวิตกเป็นพิเศษก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า ครอบครัวไร้พ่อมักจะสืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง—เป็นวัฏจักรแห่งความปวดร้าวและความทุกข์ระทมที่ดำเนินต่อไปไม่หยุด.
ครอบครัวที่ไร้พ่อถูกลิขิตให้ล้มเหลวกระนั้นไหม? ไม่เลย. ที่จริง ข่าวดีคือ สามารถยุติวัฏจักรของครอบครัวไร้พ่อได้. บทความถัดไปของเราจะพิจารณาวิธีดังกล่าว.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 4 น่าสนใจ ก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม คู่มือการเลี้ยงลูกในสหรัฐโดยทั่วไปจะพูดกับบิดา ไม่ใช่มารดา.
^ วรรค 10 นักวิจัยชื่อซารา แมกแลนาฮัน และแกรี ซานเดเฟอร์ กล่าวว่า ในสหรัฐ “ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของเด็กซึ่งมีสิทธิ์ตามหลักเหตุผลที่จะได้รับการอุปการะ ไม่มีคำตัดสินชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ [คำสั่งศาล] ให้ได้รับการอุปการะใด ๆ และหนึ่งในสี่ของเด็กที่มีคำตัดสินชี้ขาด ไม่ได้รับอะไรเลย. เด็กน้อยกว่าหนึ่งในสามได้รับเต็มจำนวนที่เขาพึงได้.”
[กรอบ/ภาพหน้า 7]
อันตรายของการเติบโตโดยไม่มีพ่อ
การเติบโตโดยไม่มีพ่อก่ออันตรายร้ายแรงต่อเด็ก ๆ. แม้การพิจารณาข้อมูลต่อไปนี้อาจทำให้บางคนปวดร้าว แต่การตระหนักถึงอันตรายเป็นขั้นตอนแรกในการป้องกันหรืออย่างน้อยก็ลดความเสียหายได้. อนึ่ง โปรดทราบว่าการศึกษาวิจัยเชิงสถิตินี้ทำกับกลุ่มไม่ใช่กับรายบุคคล. เด็กหลายคนเติบโตในครอบครัวไร้พ่อโดยไม่ประสบปัญหาเหล่านี้แต่อย่างใด. ดังบทความปิดท้ายของเราจะแสดงให้เห็น การที่แม่เข้ามามีส่วนและนำหลักการจากคัมภีร์ไบเบิลไปใช้สามารถช่วยได้มากในการบรรเทาปัญหายุ่งยากที่อาจจะเกิดขึ้น. ให้เรามาพิจารณาอันตรายที่เป็นไปได้บางอย่างซึ่งเด็กไร้พ่ออาจเผชิญ.
▪ เสี่ยงมากขึ้นต่อการถูกทำร้ายทางเพศ
การวิจัยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การขาดพ่อทำให้เด็กมีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการถูกทำร้ายทางเพศ. การศึกษาวิจัยรายหนึ่งเผยว่า จากกรณีทำร้ายเด็ก 52,000 ราย “72 เปอร์เซ็นต์เป็นเด็กที่อยู่ในครอบครัวซึ่งมีพ่อหรือแม่แท้ ๆ เพียงฝ่ายเดียว หรือไม่ก็ไม่มีทั้งพ่อและแม่.” หนังสืออเมริกาไร้พ่อ ยืนยันว่า “ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเรื่องการทำร้ายเด็กทางเพศในสังคมของเราโดยมูลฐานแล้วมีสาเหตุมาจากการไม่มีพ่อที่สมรสกับแม่ ซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ และการเพิ่มมากขึ้นของพ่อเลี้ยง, เพื่อนชาย, และผู้ชายอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ญาติหรือที่มาอยู่กินด้วยกันชั่วประเดี๋ยวประด๋าว.”
▪ เสี่ยงมากขึ้นต่อการมีพฤติกรรมทางเพศแต่เยาว์วัย
เนื่องจากเด็ก ๆ ในครอบครัวที่มีเพียงมารดาดูเหมือนได้รับการดูแลเอาใจใส่น้อยลง ผู้เยาว์จึงมักมีโอกาสมากขึ้นที่จะตกเข้าสู่การประพฤติผิดศีลธรรม. การที่แม่ไม่ค่อยได้รับการอบรมสั่งสอนอาจเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งด้วย. กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษยชนของสหรัฐ บอกว่า “เด็กหญิงที่ไม่มีพ่อ อาจมีโอกาสตั้งครรภ์ถึงสองเท่าครึ่งในชีวิตของพวกเธอ.”
▪ ความยากจน
การศึกษาวิจัยเด็กหญิงวัยรุ่นผิวดำในแอฟริกาใต้ลงความเห็นว่า ผลพวงที่พบเห็นทั่วไปของการเป็นแม่คนโดยไม่ได้สมรสก็คือความยากจน. ผู้ทำการศึกษาวิจัยบอกว่า “ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของวัยรุ่นเหล่านี้ดูเหมือนไม่กลับไปเรียนอีก.” ผู้เป็นแม่หลายคนที่ไม่ได้สมรสลงเอยด้วยการใช้ชีวิตเป็นโสเภณีและขายยาเสพย์ติด. สถานการณ์ในประเทศแถบตะวันตกอาจไม่ดีไปกว่ากันมากนัก. ในสหรัฐ “10 เปอร์เซ็นต์ของเด็กในครอบครัวที่มีทั้งพ่อและแม่ อยู่ในสภาพยากจน [ในปี 1995] แต่ในครอบครัวที่ประมุขเป็นผู้หญิงอัตราส่วนมีถึง 50 เปอร์เซ็นต์.”—เด็ก ๆ ของอเมริกา: ปัจจัยสำคัญที่บ่งชี้สวัสดิภาพของชาติปี 1997 (ภาษาอังกฤษ).
▪ การละเลย
เนื่องจากถูกบีบให้หาเลี้ยงตัวเอง มารดาไร้คู่บางคนจึงมีความรับผิดชอบท่วมท้น และไม่สามารถให้เวลากับลูกของตนได้พอเพียง. แม่ร้างคนหนึ่งเล่าว่า “ฉันต้องทำงานตอนกลางวันและไปเรียนตอนกลางคืน—เหนื่อยแทบใจจะขาด. ฉันไม่ได้เอาใจใส่ลูกเลย.”
▪ ความเสียหายทางอารมณ์
ตรงข้ามกับคำอ้างของผู้เชี่ยวชาญบางคนที่ว่า เด็กปรับตัวได้อย่างรวดเร็วหลังจากการหย่าร้าง นักวิจัยอย่างเช่น ดร. จูดิท วอลเลอร์สไตน์ พบว่าการหย่าก่อความเสียหายทางอารมณ์ยาวนาน. “มากกว่าหนึ่งในสามของหนุ่มสาวอายุระหว่างสิบเก้าถึงยี่สิบเก้าปี แทบไม่มีกำลังใจจะทำอะไรเลยในช่วงสิบปีหลังจากพ่อแม่หย่ากัน. พวกเขาปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีเป้าหมาย . . . และอยู่อย่างสิ้นหวัง.” (จากหนังสือโอกาสที่สอง [ภาษาอังกฤษ] โดย ดร. จูดิท วอลเลอร์สไตน์ และแซนดรา เบล็กส์ลี) ความรู้สึกด้อยค่า, ความซึมเศร้า, พฤติกรรมผิดกฎหมาย, และความโกรธฝังลึก เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในเด็กหลายคนที่พ่อแม่หย่ากัน.
หนังสือครอบครัวของบิดา/มารดาไร้คู่ (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “การศึกษาวิจัยหลายรายแสดงให้เห็นว่า เด็กชายที่เติบโตขึ้นโดยไม่มีผู้ชายที่เข้มแข็งเป็นแบบอย่างในชีวิตของเขา จะขาดความมั่นใจในความเป็นชายของตน อีกทั้งมีความรู้สึกด้อยค่า และในช่วงชีวิตต่อ ๆ มา เขาจะมีปัญหาด้านการสร้างความสัมพันธ์แบบสนิทสนม. ปัญหาของเด็กหญิงที่อาจเกิดจากการอยู่โดยไม่มีแบบอย่างที่เป็นบทบาทของผู้ชาย มักจะไม่แสดงให้เห็นจนกระทั่งย่างเข้าสู่วัยรุ่นหรือหลังจากนั้น และปัญหานับรวมถึงความรู้สึกยากที่จะสร้างสายสัมพันธ์ฉันชายหญิงในวัยผู้ใหญ่อย่างที่ประสบผลสำเร็จ.”