ความเชื่อถูกทดสอบในยุโรปสมัยนาซี
ความเชื่อถูกทดสอบในยุโรปสมัยนาซี
เล่าโดยอันตัน เลโตนยา
วันที่ 12 มีนาคม 1938 กองทัพของฮิตเลอร์บุกข้ามพรมแดนเข้ามาในออสเตรีย. สถานีวิทยุเปิดเพลงปลุกใจและคำขวัญทางการเมืองออกอากาศเสียงดังสนั่น. คลื่นแห่งความรักชาติโถมกระหน่ำออสเตรียบ้านเกิดของผม.
หลังจากฮิตเลอร์ยึดอำนาจได้ ผู้คนในออสเตรียต่างก็รู้สึกยินดี. หลายคนหวังว่า “จักรวรรดิไรช์พันปี” ของฮิตเลอร์จะทำให้ความยากจนและการตกงานหมดสิ้นไป. แม้แต่พวกบาทหลวงคาทอลิกก็เข้าร่วมกับความคลั่งในลัทธิชาตินิยมซึ่งครอบงำประเทศอยู่ และแสดงความเคารพแบบฮิตเลอร์.
แม้ตอนนั้นผมเป็นเด็กหนุ่มอายุแค่ 19 ปี แต่ผมก็ไม่ได้หลงไปกับคำสัญญาของฮิตเลอร์. ผมไม่เชื่อว่ารัฐบาลใด ๆ ของมนุษย์จะแก้ปัญหาของมนุษยชาติได้.
เรียนความจริงจากคัมภีร์ไบเบิล
ผมเกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน 1919 ที่เมืองโดนาวิตซ์ ประเทศออสเตรีย เป็นลูกคนที่สามซึ่งเป็นคนสุดท้องในครอบครัว. พ่อเป็นคนงานเหมืองถ่านหินที่ทำงานหนัก. ในปี 1923 พ่อพาครอบครัวเราย้ายไปฝรั่งเศส และท่านได้งานในเมืองทำเหมืองที่ชื่อลีเอแวง. แนวความคิดทางการเมืองของพ่อทำให้พ่อไม่ไว้วางใจศาสนา แต่แม่เป็นชาวคาทอลิกที่เคร่งครัด. แม่อบรมลูก ๆ ให้เชื่อในพระเจ้า และท่านอธิษฐานกับพวกเราทุกคืน. ต่อมา พ่อไม่ไว้ใจศาสนามากขึ้นจนถึงกับห้ามแม่ไปโบสถ์.
ในช่วงปลายทศวรรษปี 1920 เราได้พบกับชายหนุ่มเชื้อสายยูโกสลาฟชื่อ วินเซนซ์ พลาไตส์ หรือที่เราเรียกว่าวิงโก. เขาติดต่อกับนักศึกษาพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นชื่อที่รู้จักกันของพยานพระยะโฮวาในสมัยนั้น. ไม่นานหลังจากนั้น นักศึกษาพระคัมภีร์คนหนึ่งเริ่มมาเยี่ยมครอบครัวของเรา. เนื่องจากพ่อห้ามแม่ไปโบสถ์ แม่จึงถามวิงโกว่าจะนมัสการพระเจ้าที่บ้านได้ไหม. วิงโกชี้ให้ดูที่พระธรรมกิจการ 17:24 ที่บอกว่า พระเจ้า “มิได้ทรงสถิตอยู่ในโบสถ์ซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้” แล้วอธิบายว่า บ้านเป็นสถานที่หนึ่งที่เหมาะสมในการนมัสการพระองค์. แม่พอใจในคำตอบและเริ่มเข้าร่วมประชุมในบ้านของนักศึกษาพระคัมภีร์.
พ่อสั่งให้แม่เลิกทำสิ่งที่พ่อเรียกว่าเป็นเรื่องโง่เขลานั้น. เพื่อกีดกันไม่ให้เราคบหากับนักศึกษาพระคัมภีร์ พ่อยืนกรานให้เราทุกคนเข้าร่วมพิธีมิสซาในวันอาทิตย์! เนื่องจากแม่ไม่ยอมไปอย่างเด็ดขาด พ่อจึงตั้งใจจะให้ผมเป็นเด็กช่วยงานด้านพิธีกรรมในโบสถ์. แม้ว่ายอมให้กับความต้องการของพ่อในเรื่องนี้ แต่แม่ก็ยังคงปลูกฝังหลักการของคัมภีร์ไบเบิลไว้ในหัวใจและจิตใจของผมต่อ ๆ ไป และพาผมไปประชุมกับนักศึกษาพระคัมภีร์ด้วย.
ในปี 1928 วิงโกกับพี่สาวของผม โยเซฟีนา หรือที่เราเรียกกันว่า เปปี ได้แสดงสัญลักษณ์แห่งการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาโดยการรับบัพติสมาในน้ำ. หลังจากนั้นทั้งสองก็แต่งงานกัน. ปีถัดมาทั้งสองได้ลูกสาวคนหนึ่งชื่อ ฟีนี ซึ่ง
เกิดที่เมืองลีเอแวง. สามปีต่อมา ทั้งสองได้รับเชิญให้ทำงานรับใช้เต็มเวลาในประเทศยูโกสลาเวีย ซึ่งงานของพยานฯ ยังถูกจำกัดอยู่. แม้ว่ามีความลำบากหลายอย่าง แต่ความยินดีและความมีใจแรงกล้าที่ทั้งสองมีต่องานรับใช้พระยะโฮวาไม่ได้ลดน้อยลง. ตัวอย่างที่ดีของทั้งสองปลูกฝังให้ผมต้องการเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาด้วย.ความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ
น่าเศร้า ความขัดแย้งระหว่างพ่อกับแม่ทำให้ท่านหย่ากันในปี 1932. ผมกับแม่กลับไปออสเตรีย ส่วนวิลเฮล์ม (วิลลี) พี่ชายของผมยังอยู่ในฝรั่งเศสต่อไป. หลังจากนั้น ผมก็แทบไม่ได้ติดต่อกับพ่อเลย. พ่อยังคงต่อต้านเราจนถึงวันที่ท่านเสียชีวิต.
ผมกับแม่ลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านกัมลิตซ์ในออสเตรีย. แม่พิจารณาสรรพหนังสือที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักกับผมเป็นประจำ เนื่องจากไม่มีประชาคมอยู่ใกล้ ๆ. น่าดีใจที่ เอดูอาร์ด โวฮินซ์ ปั่นจักรยานจากเมืองกราซมาที่บ้านเราเดือนละสองครั้งเพื่อหนุนกำลังใจเราทางฝ่ายวิญญาณ โดยเขาต้องปั่นจักรยานเที่ยวละเกือบ 100 กิโลเมตร!
ณ ตอนเริ่มต้นแห่งการปกครองอันน่าหวาดกลัวของฮิตเลอร์ในปี 1938 บราเดอร์โวฮินซ์ถูกจับ. เราเศร้าโศกมากเมื่อรู้ว่าเขาถูกประหารในห้องแก๊สพิษที่สถาบันการุณยฆาตแห่งเมืองลินซ์. ความเชื่อที่โดดเด่นของเขาเสริมกำลังเราให้รับใช้พระยะโฮวาต่อไปด้วยความซื่อสัตย์.
1938—ปีที่ส่อเหตุร้าย
งานของพยานฯ ถูกสั่งห้ามในออสเตรียตั้งแต่ปี 1935. เมื่อกองทัพของฮิตเลอร์บุกเข้ามาในออสเตรียปี 1938 งานรับใช้ของเราก็เสี่ยงอันตรายมาก. เพื่อนบ้านรู้ว่าแม่กับผมเป็นพยานพระยะโฮวา เราจึงตัดสินใจที่จะเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ. ผมถึงกับเริ่มไปอยู่ที่โรงนาในตอนกลางคืน เพื่อพวกนาซีจะจับตัวผมได้ยากขึ้น.
เมื่อถึงต้นปี 1938 ผมสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานและเริ่มทำงานที่ร้านขนมปัง. เนื่องจากผมไม่ยอมพูดคำว่า “ไฮล์ ฮิตเลอร์” และไม่ยอมเป็นสมาชิกขององค์กรยุวชนฮิตเลอร์ ผมจึงถูกไล่ออกจากงาน. กระนั้น ผมตั้งใจแน่วแน่ยิ่งกว่าแต่ก่อนที่จะแสดงสัญลักษณ์แห่งการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาพระเจ้าโดยการรับบัพติสมาในน้ำ.
ผมกับแม่รับบัพติสมาในวันที่ 8 เมษายน 1938. คืนวันหนึ่ง เรากับคนอื่น ๆ อีกเจ็ดคนมาชุมนุมกันที่กระท่อมในป่าซึ่งอยู่ไกลตาผู้คน. หลังจากคำบรรยายบัพติสมา เราเดินตามทางแคบ ๆ ไปยังโรงซักรีดทีละคน โดยเว้นระยะทุก ๆ สิบนาที. เรารับบัพติสมาที่นั่นในอ่างคอนกรีต.
ในวันที่ 10 เมษายน 1938 มีการจัดการลงคะแนนเสียงแบบหลอก ๆ ในประเด็นเรื่องการผนวกออสเตรียเข้ากับเยอรมนี. คำเชิญชวนให้ “สนับสนุนฮิตเลอร์!” ปรากฏอยู่บนแผ่นโปสเตอร์ทั่วประเทศ. ผมกับแม่ไม่ถูกบังคับให้ลงคะแนนเสียง เนื่องจากเราเป็นบุคคลไร้สัญชาติ เพราะเราไปอยู่ฝรั่งเศสนานหลายปี ซึ่งเป็นสถานภาพที่ได้ช่วยชีวิตผมในเวลาต่อมา. ฟรานซ์ กานสเตอร์ จากเมืองคลาเกนเฟิร์ตที่อยู่ทางใต้ของออสเตรีย นำหอสังเกตการณ์ มาให้เราเป็นประจำ. ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้รับกำลังทางฝ่ายวิญญาณจากพระคำของพระเจ้าก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มสู้รบกันอย่างดุเดือด.
วิลลี พี่ชายของผม
วิลลีซึ่งอายุมากกว่าผมสี่ปี ไม่ได้ติดต่อผมกับแม่ตั้งแต่เราย้ายออกจากฝรั่งเศสเก้าปีก่อนหน้านั้น. แม้ว่าแม่สอนคัมภีร์ไบเบิลให้เขาตอนเป็นวัยรุ่น แต่เขาก็ถูกหลอกจนเชื่อว่านโยบายทางการเมืองของฮิตเลอร์เป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่อนาคตอันรุ่งโรจน์. ในเดือนพฤษภาคม 1940 ศาลฝรั่งเศสตัดสินจำคุกวิลลีเป็นเวลาสองปีเนื่องจากกิจกรรมที่ผิดกฎหมายของเขาในฐานะเป็นพวกนาซี. แต่ไม่นานเขาก็ถูกปล่อยตัว เมื่อกองทัพเยอรมันบุกฝรั่งเศส. ในตอนนั้น
เอง เขาได้ส่งไปรษณียบัตรจากกรุงปารีสมาให้เรา. เราดีใจที่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่แต่ก็ตกใจที่รู้ว่าเขากลายเป็นพวกนาซีไปแล้ว!ในช่วงสงคราม วิลลีสามารถมาเยี่ยมเราได้บ่อย ๆ เนื่องจากเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเอสเอส (ชูตซ์สตัฟเฟิล กองรักษาการณ์ชั้นยอดของฮิตเลอร์). เขาประทับใจมากในความสำเร็จทางการทหารของฮิตเลอร์. แทบทุกครั้งที่ผมพยายามดึงความสนใจของเขาไปยังความหวังของเราที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก เขาจะตัดบทโดยบอกว่า “เหลวไหล! ดูสงครามแบบสายฟ้าแลบของท่านฮิตเลอร์สิ. อีกไม่นานคนเยอรมันจะครองโลกแล้ว!”
ครั้งหนึ่งเมื่อวิลลีมาเยี่ยมบ้านในเดือนกุมภาพันธ์ 1942 ผมให้หนังสือศัตรู แก่เขา ซึ่งจัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา. ผมแปลกใจมากที่เขาอ่านหนังสือเล่มนั้นรวดเดียวจบ. หนังสือนั้นเริ่มทำให้เขาตระหนักว่าระบอบการปกครองของฮิตเลอร์จะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน. เขาเคยสนับสนุนระบบที่โหดร้ายและตั้งใจจะแก้ไขความผิดพลาดของเขาโดยไม่รอช้า.
วิลลียืนหยัดอยู่ฝ่ายความจริงในคัมภีร์ไบเบิล
เมื่อวิลลีมาเยี่ยมเราในเดือนถัดมา เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน. เขาบอกว่า “อันตัน พี่เดินผิดทางมาตลอด!”
ผมบอกว่า “วิลลี พี่รู้ตัวสายไปหน่อยแล้ว.”
เขาตอบว่า “ไม่สายหรอก! คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า ‘เจ้าควรทำสิ่งที่เจ้าจะต้องทำตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่’ และต้องขอบคุณพระเจ้าที่พี่ยังมีชีวิตอยู่!”—ท่านผู้ประกาศ 9:10.
ผมถามว่า “แล้วพี่ตั้งใจจะทำอะไรแน่?”
เขาตอบว่า “พี่ตั้งใจจะเลิกเป็นทหาร. พี่จะตัดขาดจากพวกนาซีและดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น.”
เขารีบเดินทางไปเมืองซาเกร็บประเทศยูโกสลาเวียทันที เพื่อไปเยี่ยมเปปี พี่สาวของเราอีกครั้งหนึ่ง. หลังจากเข้าร่วมการประชุมของพยานฯ ที่ถูกสั่งห้ามที่นั่นระยะหนึ่ง เขาก็รับบัพติสมาอย่างลับ ๆ. ในที่สุด บุตรที่สุรุ่ยสุร่ายก็กลับมา!—ลูกา 15:11-24.
เพื่อหนีจากพวกนาซีในฝรั่งเศส วิลลีพยายามข้ามพรมแดนไปยังสวิตเซอร์แลนด์. อย่างไรก็ตาม สารวัตรทหารเยอรมันจับเขาได้. เขาถูกนำตัวไปขึ้นศาลอาญาศึกในกรุงเบอร์ลิน และในวันที่ 27 กรกฎาคม 1942 เขาถูกตัดสินประหารชีวิตโทษฐานละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่. ผมได้รับอนุญาตให้เยี่ยมเขาในเรือนจำทหารที่เบอร์ลิน-เทเกิล. ผมถูกพาไปที่ห้องเล็ก ๆ และไม่นานวิลลีก็เข้ามาในห้อง โดยมีโซ่ล่ามติดกับยามคนหนึ่ง. เมื่อเห็นเขาอยู่ในสภาพนั้นผมก็น้ำตาคลอ. เราไม่ได้รับอนุญาตให้สวมกอดกันและมีเวลาแค่ 20 นาทีที่จะกล่าวคำอำลา.
วิลลีเห็นน้ำตาของผมและพูดว่า “อันตัน นายร้องไห้ทำไม? นายน่าจะดีใจสิ! พี่ขอบคุณพระยะโฮวาจริง ๆ ที่ทรงช่วยให้พี่พบความจริงอีกครั้ง! ถ้าพี่ตายเพื่อฮิตเลอร์ พี่ก็ไม่มีความหวังอะไร. แต่ถ้าพี่ตายเพื่อพระยะโฮวา พี่ก็แน่ใจว่าจะได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย แล้วเราจะพบกันอีก!”
ในจดหมายอำลาฉบับสุดท้ายที่วิลลีเขียนถึงเรา เขากล่าวว่า “พระเจ้าผู้เป็นที่รักยิ่งของพวกเรา พระเจ้าที่ผมรับใช้ ทรงประทานทุกสิ่งที่จำเป็นแก่ผมและจะทรงค้ำจุนผมจนถึงที่สุดอย่างแน่นอน เพื่อผมจะอดทนได้และมีชัยชนะ. ผมขอย้ำ ขอจงมั่นใจว่าผมไม่เสียใจเลยและผมได้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า!”
วิลลีถูกประหารในทัณฑสถานบรันเดนบูร์ก ใกล้กรุงเบอร์ลิน ในวันต่อมาคือวันที่ 2 กันยายน 1942. เขามีอายุ 27 ปี. แบบอย่างของเขาแสดงถึงความจริงแห่งถ้อยคำที่ฟิลิปปอย 4:13 (ล.ม.) ที่ว่า “ข้าพเจ้ามีกำลังสำหรับทุกสิ่งโดยพระองค์ผู้ทรงประทานพลังให้ข้าพเจ้า.”
วิงโกซื่อสัตย์จนสิ้นชีวิต
กองทัพเยอรมันรุกเข้าไปในยูโกสลาเวียในปี 1941 และทำให้เปปีกับวิงโก สามีของเธอ และฟีนี ลูกสาววัย 12 ปีของเขาต้องกลับมาบ้านที่ออสเตรีย. จนถึงตอนนั้นพยานฯ ส่วนใหญ่ในออสเตรียถูกคุมขังในคุกหรือไม่ก็ในค่ายกักกัน. เนื่องจากเป็นบุคคลไร้สัญชาติ หรือพูดอีกอย่างคือไม่ใช่สัญชาติเยอรมัน ทั้งสองจึงถูกบังคับให้ทำงานในฟาร์มแห่งหนึ่งทางใต้ของออสเตรีย ใกล้กับบ้านของเรา.
ต่อมา ในวันที่ 26 สิงหาคม 1943 พวกเกสตาโป (ตำรวจลับของนาซี) จับวิงโก. เมื่อฟีนีพยายามจะลาพ่อของเธอ หัวหน้าตำรวจตบเธออย่างแรงจนเธอกระเด็นไปอีกฟากหนึ่งของห้อง. วิงโกถูกสอบสวนบ่อยมากและถูกพวกเกสตาโปทุบตีอย่างโหดร้ายและถูกนำตัวไปทัณฑสถานชตาเดลไฮม์ในนครมิวนิก.
ในวันที่ 6 ตุลาคม 1943 ตำรวจจับผมในที่ทำงาน และผมก็ถูกส่งตัวไปที่ทัณฑสถานชตาเดลไฮม์ ที่เดียวกับวิงโก. เนื่องจากผมพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่องแคล่ว พวกเขาจึงใช้ผมเป็นล่ามให้พวกเชลยชาวฝรั่งเศส. ระหว่างช่วงที่เดินอยู่ในบริเวณเรือนจำ ผมมีโอกาสแลกเปลี่ยนข่าวกับวิงโก.
ในที่สุด วิงโกก็ถูกตัดสินประหารชีวิต. เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จัดหาสรรพหนังสือด้านคัมภีร์ไบเบิลให้พวกพยานฯ และให้เงินช่วยเหลือพวกผู้หญิงพยานฯ ที่สามีถูกจำอยู่ในค่ายกักกัน. เขาถูกย้ายไปทัณฑสถานใกล้กรุงเบอร์ลินแห่งเดียวกับที่วิลลีถูกประหาร. เขาถูกตัดศีรษะที่นั่นเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1944.
ตอนที่วิงโกพบกับครอบครัวของเขาเป็นครั้งสุดท้ายเป็นเหตุการณ์ที่น่าปวดร้าวใจมาก. พวกเขาเห็นวิงโกถูกล่ามโซ่และถูกตีจนบอบช้ำ และเป็นเรื่องยากที่วิงโกจะสวมกอดพวกเขาเนื่องจากมีโซ่ล่ามอยู่. ฟีนีอายุ 14 ปีเมื่อเธอพบพ่อเป็นครั้งสุดท้าย. เธอยังจำคำพูดสุดท้ายของพ่อได้ที่ว่า “ฟีนี ดูแลแม่นะ!”
หลังจากพ่อถูกประหาร ฟีนีก็ถูกพรากจากแม่และถูกนำไปไว้กับครอบครัวนาซีซึ่งพยายามจะ “ดัดนิสัย” เธอ. เธอถูกตีอย่างทารุณบ่อย ๆ. เมื่อกองทัพรัสเซียบุกเข้าออสเตรีย พวกเขายิงครอบครัวชาวเยอรมันนั้นที่ทำร้ายเธออย่างทารุณ. พวกรัสเซียถือว่าครอบครัวนั้นเป็นนาซีที่ขึ้นชื่อ.
หลังสงครามสิ้นสุด พี่สาวของผมยังคงรับใช้เต็มเวลาต่อไป. เธอรับใช้เคียงข้างฮันส์ เฟอร์สเตอร์ สามีคนที่สองของเธอ ในสาขาของพยานพระยะโฮวาในสวิตเซอร์แลนด์จนกระทั่งเธอเสียชีวิตในปี 1998. ฟีนีก็เจริญรอยตามพ่อแม่ของเธอและปัจจุบันรับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์.
ในที่สุดก็เป็นอิสระ!
ต้นปี 1945 เรือนจำของเราในมิวนิกเป็นหนึ่งในอาคารที่ถูกทิ้งระเบิด. เมืองนี้ถูกทำลายย่อยยับ. ผมติดคุกได้ 18 เดือนถึงจะเริ่มมีการพิจารณาคดีของผมต่อหน้าผู้พิพากษา. ตอนนั้นเหลืออีกแค่สองสัปดาห์ก่อนที่สงครามจะยุติลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 พฤษภาคม 1945. ในระหว่างการพิจารณาคดี มีการถามผมว่า “คุณเต็มใจปฏิบัติหน้าที่เป็นทหารไหม?”
ผมตอบว่า “นักโทษไม่ได้รับอนุญาตให้ใส่เครื่องแบบหรือกล่าว ‘ไฮล์ ฮิตเลอร์.’ ” เมื่อเขาถามว่า ผมเต็มใจจะรับใช้ในกองทัพเยอรมันหรือไม่ ผมตอบว่า “กรุณาส่งหมายเรียกมา แล้วผมจะแจ้งให้ท่านทราบการตัดสินใจของผม!”
ไม่กี่วันต่อมา สงครามก็ยุติลง และผมได้รับแจ้งว่าผมเป็นอิสระแล้ว. ไม่นานหลังจากนั้น ผมย้ายไปเมืองกราซ ที่ซึ่งมีการจัดตั้งประชาคมเล็ก ๆ มีพยานฯ 35 คน. ตอนนี้มีแปดประชาคมกำลังก้าวหน้าในเขตกราซ.
ผู้ช่วยที่เปี่ยมด้วยความรัก
ไม่นานหลังจากสงครามยุติลง ผมพบกับเฮเลเน ดุนสต์ ครูสาวซึ่งเคยเป็นสมาชิกพรรคนาซี. เธอผิดหวังอย่างมากกับลัทธินาซี. ครั้งแรกที่ผมพูดคุยกับเธอ เธอถามว่า “ทำไม
มีแต่พวกคุณเท่านั้นที่รู้ว่าพระเจ้ามีพระนามว่ายะโฮวา แต่คนอื่นไม่รู้?”ผมตอบว่า “ก็เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้ตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิล.” แล้วผมก็ชี้ให้เธอดูพระนามของพระเจ้าในคัมภีร์ไบเบิล.
เธอร้องว่า “ถ้าคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระเจ้ามีพระนามว่ายะโฮวา เราก็น่าจะบอกให้ทุกคนรู้ข้อเท็จจริงนี้สิ!” เฮเลเนเริ่มประกาศความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและหนึ่งปีต่อมาเธอก็แสดงสัญลักษณ์แห่งการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาโดยการรับบัพติสมาในน้ำ. เราแต่งงานกันในวันที่ 5 มิถุนายน 1948.
ในวันที่ 1 เมษายน 1953 เราได้มาเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาของพยานพระยะโฮวา. ในที่สุด เราได้รับเชิญให้เข้าเรียนในรุ่นที่ 31 ของโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียด ซึ่งตั้งอยู่ที่เซาท์แลนซิง รัฐนิวยอร์ก. ที่นั่นเรามีการคบหาที่อบอุ่นจริง ๆ กับเพื่อนนักเรียนจากประเทศต่าง ๆ 64 ประเทศ.
หลังจากที่เราสำเร็จการศึกษา เราได้รับมอบหมายให้ไปออสเตรียอีก. ในช่วงไม่กี่ปี งานของเราคือไปเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ เพื่อหนุนกำลังใจพวกเขาทางฝ่ายวิญญาณ. จากนั้นเราได้รับเชิญให้รับใช้ในสำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาที่ลักเซมเบิร์ก. ต่อมามีการขอให้เราย้ายไปยังสำนักงานสาขาที่ออสเตรีย ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเวียนนา. ในปี 1972 ขณะรับใช้ที่นั่น เราเริ่มเรียนภาษาเซอร์เบีย-โครเอเชียเพื่อให้คำพยานแก่คนงานชาวยูโกสลาฟหลายคนที่เข้ามาอยู่ในเวียนนา. ตอนนี้มีประชาคมภาษาเซอร์เบีย-โครเอเชียแปดประชาคมในเวียนนา ซึ่งมีผู้คนจากเกือบทุกส่วนของยุโรป!
ในวันที่ 27 สิงหาคม 2001 เฮเลเนหลับไปในความตาย. เธอเป็นทั้งผู้ช่วยและเพื่อนที่ล้ำค่าและไว้ใจได้ตลอดช่วงเวลา 53 ปีแห่งความสุขที่เราได้อยู่ด้วยกัน. ตอนนี้ความหวังเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายยิ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากในหัวใจของผม.
ความอิ่มใจในความรักของพระเจ้า
แม้ว่าผมได้ประสบโศกนาฏกรรม ผมก็ยังอิ่มใจในงานของผมที่สำนักงานสาขาออสเตรีย. สิทธิพิเศษที่ผมได้รับเมื่อเร็ว ๆ นี้คือการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวในนิทรรศการ “เหยื่อผู้ถูกลืมของระบอบนาซี.” ตั้งแต่ปี 1997 นิทรรศการนี้ได้เปิดแสดงตามเมืองต่าง ๆ 70 แห่งในออสเตรีย และทำให้ประจักษ์พยานที่รอดชีวิตจากเรือนจำและค่ายกักกันของนาซีมีโอกาสได้เล่าเกี่ยวกับความเชื่อและความกล้าหาญที่คริสเตียนแท้ได้แสดงออกแม้เผชิญการข่มเหงจากพวกนาซี.
ผมถือเป็นสิทธิพิเศษที่ได้รู้จักผู้ซื่อสัตย์เหล่านั้นเป็นส่วนตัว. พวกเขาเป็นพยานหลักฐานที่น่าประทับใจถึงความจริงของโรม 8:38, 39 ที่ว่า “แม้ความตาย, หรือชีวิต, หรือทูตสวรรค์, หรือผู้มีบรรดาศักดิ์, หรือสิ่งซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้, หรือสิ่งซึ่งจะเป็นมาภายหน้า, หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย, หรือความสูง, หรือความลึก, หรือสิ่งใด ๆ อื่นที่ทรงสร้างแล้ว, จะไม่อาจกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้าซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย.”
[ภาพหน้า 17]
ครอบครัวของเราในปี 1930 (ซ้ายไปขวา): ผม, เปปี, พ่อ, วิลลี, แม่, และวิงโก
[ภาพหน้า 18]
วิลลี พี่ชายของผม ไม่นานก่อนถูกประหาร
[ภาพหน้า 19]
ผมกับวิงโกเคยอยู่ที่ทัณฑสถานชตาเดลไฮม์ นครมิวนิก
[ภาพหน้า 19]
ฟีนี ลูกสาวของวิงโก เคยถูกนำตัวไปไว้กับครอบครัวนาซีที่เหี้ยมโหด; เธอยังคงซื่อสัตย์จนถึงทุกวันนี้
[ภาพหน้า 20]
เฮเลเนเป็นเพื่อนที่ล้ำค่าในระหว่าง 53 ปีในชีวิตสมรสของเรา
[ภาพหน้า 20]
บรรยายที่นิทรรศการ “เหยื่อผู้ถูกลืมของระบอบนาซี”