พระยะโฮวาประทานบำเหน็จแก่ผู้ที่ภักดีต่อพระองค์เสมอ
เรื่องราวชีวิตจริง
พระยะโฮวาประทานบำเหน็จแก่ผู้ที่ภักดีต่อพระองค์เสมอ
เล่าโดย เวอร์นอน ดันคอมบ์
ผมรับประทานของว่างรอบดึกเสร็จและจุดบุหรี่สูบตามเคย. แล้วผมก็ถามไอลีน ภรรยาของผมว่า “การประชุมคืนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เธอหยุดนิดหนึ่งแล้วตอบว่า “มีการอ่านจดหมายซึ่งประกาศการแต่งตั้งใหม่ และมีชื่อคุณด้วยนะ. คุณจะได้เป็นผู้รับใช้ที่ดูแลระบบเสียง. ประโยคสุดท้ายในจดหมายนั้นบอกว่า ‘ถ้าพี่น้องคนใดซึ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่เป็นผู้ใช้ยาสูบ เขามีพันธะต้องเขียนจดหมายแจ้งสมาคมฯ ว่าเขาไม่สามารถรับหน้าที่มอบหมายนี้ได้.’ ” * ผมตอบรับด้วยการพูดอย่างเด็ดขาดและลากเสียงว่า “เหรอ! เขาว่าอย่างนั้นเหรอ.”
ผมกัดฟันแน่นและขยี้บุหรี่มวนนั้นลงในที่เขี่ยบุหรี่ข้าง ๆ ผม. “ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถูกเลือกให้ทำหน้าที่นี้. แต่ผมยังไม่เคยปฏิเสธหน้าที่ใด ๆ เลย และผมไม่อยากจะเริ่มทำอย่างนั้น.” ผมตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่สูบบุหรี่อีกเลย. การตัดสินใจครั้งนั้นส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตของผมทั้งในฐานะคริสเตียนและนักดนตรี. ขอให้ผมเล่าเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ผมตัดสินใจแน่วแน่.
ชีวิตครอบครัวช่วงแรก ๆ
ผมเกิดที่เมืองโทรอนโต แคนาดา เมื่อวันที่ 21 กันยายน 1914 เป็นลูกชายคนโตของเวอร์นอนและไลลา ซึ่งเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่เปี่ยมด้วยความรักและขยันขันแข็ง. ท่านทั้งสองต้องหาเลี้ยงครอบครัวที่มีลูกชายสี่คนและลูกสาวสองคน. น้องที่ถัดจากผมลงไปคือยอร์ก, ต่อจากเขาก็เป็นออร์ลันโด, ดักลาส, ไอลีน, และคอรัล. เมื่อผมอายุเพียงเก้าขวบ คุณแม่ยื่นไวโอลินคันหนึ่งให้ผมแล้วจัดการให้ผมไปเรียนดนตรีที่โรงเรียนดนตรีแฮร์ริส. แม้การเงินจะฝืดเคือง แต่คุณ
พ่อคุณแม่ก็หาทางจ่ายค่ารถรางกับค่าเทอมให้ผมได้. ต่อมา ผมเรียนทฤษฎีดนตรีและการประสานเสียงที่โรงเรียนรอยัล คอนเซอร์เวทอรี ออฟ มิวสิก ในโทรอนโต และเมื่ออายุ 12 ปี ผมเข้าประกวดในการแสดงดนตรีระดับเมืองที่แมสซีฮอลล์ ซึ่งเป็นโรงแสดงดนตรีที่หรูหรากลางเมือง. ผมถูกเลือกให้เป็นผู้ชนะเลิศและได้รับรางวัลเป็นไวโอลินชั้นดีในกล่องหนังจระเข้.ต่อมา ผมยังได้เรียนเปียโนและเบสไวโอลิน. เรามักจะรวมกันเป็นกลุ่มตอนเย็นวันศุกร์และวันเสาร์และไปเล่นที่งานเลี้ยงเต้นรำร่วมรุ่นเล็ก ๆ. ในงานเลี้ยงเหล่านั้นเองที่ผมพบกับไอลีนเป็นครั้งแรก. ช่วงที่ผมเรียนชั้นมัธยมปลายปีสุดท้าย ผมเล่นดนตรีกับวงออร์เคสตราหลายวงทั่วเมือง. หลังจากผมสำเร็จการศึกษา ผมได้รับเชิญให้ร่วมกับวงออร์เคสตราเฟอร์เด เมารี และนั่นเป็นงานที่มั่นคงดีจนกระทั่งปี 1943.
การได้มารู้จักพระยะโฮวา
คุณพ่อคุณแม่ของผมได้รับการแนะนำให้รู้จักความจริงในคัมภีร์ไบเบิลก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มขึ้นไม่นาน ตอนนั้นคุณพ่อทำงานแต่งหน้าร้านให้กับห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเมืองโทรอนโต. ในห้องรับประทานอาหารกลางวัน ท่านได้ยินการสนทนาระหว่างคนงานสองคนที่เป็นนักศึกษาพระคัมภีร์ (ชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาในสมัยนั้น) แล้วท่านก็จะบอกสิ่งที่ท่านได้ยินกับคุณแม่เมื่อกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น. ต่อมาระยะหนึ่ง ในปี 1927 นักศึกษาพระคัมภีร์จัดการประชุมใหญ่ครั้งสำคัญในเมืองโทรอนโตที่โรงมหรสพในศูนย์การแสดงสินค้าแห่งชาติของแคนาดา. บ้านของเราซึ่งอยู่ห่างจากทางเข้าด้านตะวันตกของศูนย์นั้นสองช่วงตึก เป็นที่พักของผู้มาร่วมประชุม 25 คนจากรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา.
หลังจากนั้น เอดา เบลตโซ คนหนึ่งในพวกนักศึกษาพระคัมภีร์ เริ่มมาเยี่ยมคุณแม่ของผมบ่อย ๆ และให้สรรพหนังสือใหม่ ๆ ไว้. วันหนึ่งเธอบอกว่า “คุณนายดันคอมบ์คะ ดิฉันให้สรรพหนังสือต่าง ๆ กับคุณมาระยะหนึ่งแล้ว. คุณเคยอ่านบ้างไหมคะ?” แม้ว่าจะต้องเลี้ยงดูลูกหกคน คุณแม่ก็ตั้งใจจะเริ่มอ่านวารสารตั้งแต่นั้นมา และท่านไม่เคยเลิก. อย่างไรก็ตาม ผมแทบไม่ได้สนใจหนังสือเหล่านั้นเลย. ผมกำลังพยายามเรียนให้จบและหมกมุ่นมากกับเรื่องดนตรี.
ในเดือนมิถุนายน 1935 ผมกับไอลีนแต่งงานกันในโบสถ์ของคริสตจักรแองกลิกัน. ตั้งแต่ผมออกจากคริสตจักรยูไนเต็ดเมื่ออายุ 13 ปี ผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับศาสนาใด ๆ เลย; ผมจึงเขียนในทะเบียนสมรสว่าเป็นพยานพระยะโฮวา แม้ว่าผมยังไม่ได้เป็นพยานฯ.
เราหวังจะสร้างครอบครัวในวันข้างหน้าและอยากจะเป็นพ่อแม่ที่ดี. เราจึงเริ่มอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ด้วยกัน. แม้ว่าเรามีความตั้งใจดี แต่มีอะไรบางอย่างมาขัดขวาง. ต่อมาไม่นานเราก็พยายามอีกครั้ง แต่ก็เป็นอย่างเดิม. และแล้วในวันคริสต์มาสปี 1935 เราได้รับของขวัญเป็นหนังสือชื่อพิณของพระเจ้า. ภรรยาของผมพูดว่า “โอ้โฮ คุณแม่ของคุณให้ของขวัญวันคริสต์มาสที่แปลกอะไรอย่างนี้.” อย่างไรก็ตาม หลังจากผมไปทำงาน เธอเริ่มอ่านหนังสือเล่มนั้น และเธอชอบสิ่งที่เธออ่าน. ช่วงหนึ่ง ผมไม่รู้เรื่องนี้. ในเรื่องความคาดหวังเกี่ยวกับครอบครัวของเรานั้น มันไม่ได้สำเร็จตามความมุ่งหมาย. ลูกสาวของเราเกิดมาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1937 แต่เธอเสียชีวิต. เราเศร้าโศกจริง ๆ!
ในช่วงนั้น ครอบครัวของผมเข้าส่วนร่วมในงานประกาศอย่างกระตือรือร้น และผมได้มารู้ว่าคุณพ่อเป็นผู้ประกาศราชอาณาจักรเพียงคนเดียวในครอบครัวที่ยังเสนอการบอกรับวารสารคอนโซเลชัน (ปัจจุบันคือตื่นเถิด! ) ไม่ได้. นั่นเป็นเป้าในการเสนอประจำเดือนนั้น. ถึงผมยังไม่เคยอ่านสรรพหนังสือใด ๆ ของสมาคมฯ เลย แต่ผมก็สงสารคุณพ่อจึงบอกว่า “เอาอย่างนี้พ่อ ผมขอบอกรับวารสารจากพ่อ พ่อจะได้เหมือนกับคนอื่น ๆ.” ฤดูร้อนมาถึง และวงออร์เคสตราย้ายไปเล่นที่รีสอร์ตนอกเมือง. คอนโซเลชัน ตามมาทางไปรษณีย์. ฤดูใบไม้ร่วงมาถึง และวงออร์เคสตราย้ายกลับมายังเมืองโทรอนโต. วารสารก็ตามมายังที่อยู่ใหม่ของเราเสมอ และผมไม่เคยแกะออกดูแม้แต่เล่มเดียว.
ระหว่างวันหยุดคริสต์มาส ผมมองไปที่กองวารสารและคิดว่าถ้าผมจ่ายเงินรับวารสารเหล่านั้น ผมก็ควรจะอ่านอย่างน้อยบางฉบับเพื่อจะดูว่ามีสาระอะไรบ้าง. ฉบับแรกที่ผมเปิดอ่านทำให้ผมตะลึง. ฉบับนั้นเปิดโปงความฉ้อฉลและการคอร์รัปชันทางการเมืองในสมัยนั้น. ผมเริ่มพูดกับเพื่อนนักดนตรีเกี่ยวกับสิ่งที่ผมได้อ่าน. อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เชื่อว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง และผมจึงต้องอ่านวารสารมัดธาย 24:45, ล.ม.
นั้นต่อไปเพื่อจะปกป้องตัวเอง. โดยไม่รู้ตัว ผมเริ่มให้คำพยานเกี่ยวกับพระยะโฮวา. และตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยเลิกอ่านสรรพหนังสืออันยอดเยี่ยมเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลของ “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม.”—แม้ว่างานอาชีพทำให้ผมยุ่งตลอดสัปดาห์ แต่ไม่นานผมก็เข้าร่วมประชุมวันอาทิตย์กับไอลีน. เมื่อเรามาถึงการประชุมในวันอาทิตย์วันหนึ่งในปี 1938 พี่น้องหญิงสูงอายุสองคนทักทายเรา และคนหนึ่งพูดว่า “พ่อหนุ่ม เธอเข้ามาอยู่ฝ่ายพระยะโฮวาหรือยัง? เธอรู้ไหม อาร์มาเก็ดดอนจวนจะมาถึงอยู่แล้ว!” ผมรู้ว่าพระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และผมเชื่อว่านี่คือองค์การของพระองค์. ผมต้องการเป็นส่วนหนึ่งขององค์การนี้ ดังนั้น ในวันที่ 15 ตุลาคม 1938 ผมก็รับบัพติสมา. ไอลีนรับบัพติสมาประมาณหกเดือนต่อมา. ผมยินดีที่พูดได้ว่าทุกคนในครอบครัวของผมเข้ามาเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวแด่พระยะโฮวา.
ผมชื่นชมยินดีจริง ๆ ที่ได้คบหากับไพร่พลของพระเจ้า! ไม่นาน ผมก็รู้สึกเป็นกันเองกับพวกเขา. เมื่อผมเข้าร่วมประชุมไม่ได้ ผมก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่การประชุมเสมอ. เย็นวันนั้นที่ผมกล่าวถึงข้างต้นกลายเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อในการรับใช้พระยะโฮวาของผม.
ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงสำหรับเรา
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับเราเกิดขึ้นในวันที่ 1 พฤษภาคม 1943. เราเข้าร่วมการประชุมใหญ่ครั้งสำคัญครั้งแรกของเรา นั่นคือการประชุมภาคโลกใหม่ตามระบอบของพระเจ้าในเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ในเดือนกันยายน 1942. ณ การประชุมนั้น ขณะที่สงครามโลกอันเลวร้ายกำลังดำเนินอยู่ ซึ่งเป็นสงครามที่ไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง เราได้ยินบราเดอร์นอร์ ซึ่งเป็นนายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ในตอนนั้น ให้คำบรรยายสาธารณะที่จับความสนใจชื่อ “สันติภาพ—จะยืนยงไหม?” อย่างกล้าหาญ. เราจำได้ดีว่าท่านใช้วิวรณ์บท 17 แสดงให้เห็นว่าจะมีสันติภาพในช่วงหลังสงครามซึ่งจะทำให้งานประกาศบรรลุผลอันยิ่งใหญ่.
สิ่งที่ส่งผลกระทบเรามากที่สุดคือคำบรรยายของบราเดอร์นอร์ก่อนหน้านั้น “ยิพธากับคำปฏิญาณของท่าน.” มีการเรียกร้องขอให้มีไพโอเนียร์มากขึ้น! ผมกับไอลีนมองหน้ากันและกล่าวเป็นเสียงเดียว (กับอีกหลายคนในขณะนั้น) ว่า “คือพวกเราเอง!” เราเริ่มวางแผนเข้าสู่งานที่สำคัญกว่าทันที.
มีการสั่งห้ามงานของพยานพระยะโฮวาในแคนาดาตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 1940. เมื่อเราเข้าสู่งานไพโอเนียร์ในวันที่ 1 พฤษภาคม 1943 ยังเป็นการผิดกฎหมายที่จะให้คำพยานเกี่ยวกับพระยะโฮวาและเสนอสรรพหนังสือของสมาคมฯ ในการเผยแพร่. โดยทำหน้าที่เป็นคริสเตียน เราเอาคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลคิง เจมส์เล่มส่วนตัวของเราติดตัวไปเพียงเล่มเดียว. เพียงไม่กี่วันหลังจากเราไปถึงเขตมอบหมายงานไพโอเนียร์แห่งแรกของเราในเมืองแพร์รี เซานด์ มณฑลออนแทรีโอ สจ็วต แมนน์ ไพโอเนียร์ผู้มีประสบการณ์ ถูกสำนักงานสาขาส่งมาทำงานกับเราในเขต. ช่างเป็นการจัดเตรียมอันเปี่ยมด้วยความรักอะไรเช่นนั้น! บราเดอร์แมนน์มีอุปนิสัยที่น่ารักและยิ้มแย้มอยู่เสมอ. เราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากเขาและมีช่วงเวลาที่มีความสุข. เรากำลังนำการศึกษาหลายรายตอนที่สมาคมฯ มอบหมายเราไปยังเมืองแฮมิลตัน. ไม่นานหลังจากนั้น แม้ว่าผมจะมีอายุเกินการเป็นทหารแล้ว ผมก็ถูกเกณฑ์. เมื่อผมไม่ยอมเข้ากองทัพ ผมถูกจับกุมในวันที่ 31 ธันวาคม 1943. หลังจากการพิจารณาคดีตามระเบียบ ผมถูกตัดสินให้ไปยังค่ายบริการชุมชนสำหรับผู้ที่ปฏิเสธการเป็นทหาร. ผมอยู่ที่นั่นจนถึงเดือนสิงหาคม 1945.
เมื่อผมถูกปล่อยตัว ผมกับไอลีนได้รับมอบหมายให้เป็นไพโอเนียร์ทันทีในเมืองคอร์นวอลล์ มณฑลออนแทรีโอ. ไม่
นานหลังจากนั้น เราไปที่มณฑลควิเบก โดยมีการมอบหมายพิเศษเกี่ยวข้องกับศาลจากฝ่ายกฎหมายของสมาคม. ช่วงนั้นเป็นยุคของดูเปลซีในควิเบก ซึ่งการข่มเหงพยานพระยะโฮวารุนแรงเป็นพิเศษ. หลายวันต่อสัปดาห์ ผมต้องไปที่ศาลสี่แห่งเพื่อช่วยพี่น้องของเรา. ช่วงนั้นเป็นช่วงที่น่าตื่นเต้นและทำให้ความเชื่อเข้มแข็ง.หลังจากการประชุมภาคที่คลีฟแลนด์ในปี 1946 ก็มีงานหมวดและงานภาคซึ่งทำให้ผมกับภรรยาต้องเดินทางไปทั่วจากชายฝั่งข้างหนึ่งจนถึงชายฝั่งอีกข้างหนึ่ง. สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นเร็วมาก. ในปี 1948 เราได้รับเชิญให้เข้าร่วมโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดชั้นเรียนที่ 11. บราเดอร์อัลเบิร์ต ชโรเดอร์และแมกซ์เวลล์ เฟรนด์อยู่ในคณะผู้สอน และชั้นเรียนของเรามีนักเรียน 108 คน ในจำนวนนี้มีผู้ถูกเจิม 40 คน. เนื่องจากมีผู้ที่รับใช้พระยะโฮวามาอย่างยาวนานหลายคนเช่นนั้น นั่นเป็นประสบการณ์ที่ให้บำเหน็จและยอดเยี่ยมจริง ๆ!
วันหนึ่งบราเดอร์นอร์มาจากบรุกลินเพื่อเยี่ยมเรา. ในคำบรรยาย ท่านขออาสาสมัคร 25 คนเพื่อจะเรียนภาษาญี่ปุ่น. ทั้ง 108 คนรับอาสา! ยังคงเป็นหน้าที่ของท่านนายกเหมือนเดิมที่จะเลือกว่าใครจะได้เรียนภาษาญี่ปุ่น. ผมคิดว่าพระยะโฮวาทรงนำในการเลือกครั้งนั้น เนื่องจากผลปรากฏออกมาดีเหลือเกิน. หลายคนในบรรดา 25 คนที่ถูกเลือกและภายหลังได้รับสิทธิพิเศษที่จะบุกเบิกงานในญี่ปุ่นยังคงอยู่ในงานมอบหมายของตน—ใช่ พวกเขาสูงอายุแล้ว แต่ยังคงอยู่ที่นั่น. บางคนเช่น ลอยด์กับเมลบา แบร์รี ถูกย้ายไปงานมอบหมายอื่น. ลอยด์เป็นสมาชิกคณะกรรมการปกครองจนกระทั่งเขาเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว. เราชื่นชมกับพวกเขาทุกคนในบำเหน็จที่พระยะโฮวาทรงประทานให้.
วันสำเร็จการศึกษามาถึง และเราได้รับมอบหมายไปยังจาเมกา. อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีคดียืดเยื้อในควิเบก เราจึงได้รับคำแนะนำให้กลับไปแคนาดา.
เล่นดนตรีมากขึ้นอีก!
แม้ว่าผมทิ้งดนตรีไปเพื่อเป็นไพโอเนียร์ แต่ก็ดูเหมือนว่าดนตรีไม่ได้ทิ้งผม. ปีถัดมา นาทาน นอร์ นายกสมาคมฯ และเลขานุการของท่าน มิลตัน เฮนเชล มายังสนามเมเปิลลีฟการ์เดน ในโทรอนโต. คำบรรยายสาธารณะของบราเดอร์นอร์เรื่อง “สายเกินกว่าที่คุณคิด!” กระตุ้นทุกคน. เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับเชิญให้ควบคุมวงออร์เคสตราของการประชุมใหญ่. เราเรียบเรียงจังหวะวอลซ์ของเพลงที่นิยมกันบางเพลงในหนังสือเพลงราชอาณาจักร (1944). พวกพี่น้องดูเหมือนจะชอบ. เมื่อระเบียบวาระภาคบ่ายวันเสาร์จบลง เราซ้อมการแสดงสำหรับวันอาทิตย์. ผมเหลือบไปเห็นบราเดอร์เฮนเชลเดินลัดสนามมาทางเรา ผมจึงหยุดวงไว้เพื่อจะไปพบท่าน. ท่านถามว่า “คุณมีนักดนตรีกี่คนในวงออร์เคสตราที่นี่?” ผมตอบว่า “เมื่อทุกคนอยู่กันครบก็มีประมาณ 35 คนครับ.” ท่านบอกว่า “เอาละ คุณจะมีมากกว่านี้สองเท่าในนิวยอร์กฤดูร้อนปีหน้า.”
กระนั้น ก่อนฤดูร้อนปีนั้นจะมาถึง ผมถูกเชิญไปยังบรุกลิน. เนื่องจากสภาพการณ์ ตอนแรกไอลีนไปกับผมไม่ได้. อาคารใหม่เลขที่ 124 ถนนโคลัมเบียไฮตส์ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ผมจึงได้รับมอบหมายให้พักในอาคารหลังเก่า ในห้องเล็ก ๆ กับพี่น้องผู้ถูกเจิมสองท่าน—บราเดอร์เพย์นผู้สูงอายุและบราเดอร์คาร์ล ไคลน์ ซึ่งผมพบเป็นครั้งแรกในตอนนั้น. แออัดไหม? ใช่. แต่ว่าเราเข้ากันได้ดีมาก. พี่น้องที่อายุมากกว่าผมเป็นผู้มีความอดกลั้นทนนานและอดทน. ผมเพียงแต่พยายามไม่เกะกะพวกเขาเท่านั้น! นั่นเป็นบทเรียนที่ดีว่าพระวิญญาณของพระเจ้าสามารถทำอะไรให้สำเร็จได้บ้าง. การประชุมและการทำงานร่วมกับบราเดอร์ไคลน์นำพระพรมาให้ผมจริง ๆ! ท่านเป็นคนที่กรุณาและคอยช่วยเหลือ. เราทำงานร่วมกันได้ดีและเป็นเพื่อนสนิทกันมาตลอด 50 กว่าปี.
นับเป็นสิทธิพิเศษที่ได้ช่วยจัดการเรื่องดนตรีที่การประชุมภาค ณ สนามกีฬาแยงกีในปี 1950, 1953, 1955, และ 1958 รวมทั้งรับผิดชอบวงออร์เคสตราร่วมกันกับแอล แคเวลิน ที่การประชุมปี 1963 ณ สนามกีฬาโรส โบว์ล ที่เมืองพาซาดีนา รัฐแคลิฟอร์เนีย. ระหว่างการประชุมภาคปี 1953 ที่สนามกีฬาแยงกี มีรายการดนตรีในวันอาทิตย์ก่อนคำบรรยายสาธารณะ. เอริก ฟรอสต์แนะนำตัวนักร้องเสียงโซปราโนชื่อ เอดิท ชีมีโอนิก (ต่อมาเป็นไวกานด์) กับผม ซึ่งร้องเพลงที่เขาแต่งชื่อ “พยานทั้งหลาย จงรีบรุดหน้าไป!” ประสานกับเสียงดนตรีออร์เคสตราของเรา. หลังจากนั้นเราต่างก็ตื่นเต้นกับเสียงอันไพเราะของพี่น้องชาว
แอฟริกาซึ่งเราได้ยินเป็นครั้งแรก. มิชชันนารีแฮร์รี อาร์นอตต์นำเทปบันทึกเสียงที่ดีจากโรดีเซียเหนือ (ปัจจุบันคือแซมเบีย) มาให้เราฟัง. เสียงนั้นก้องกังวาลไปทั่วสนามกีฬา.การบันทึกเสียงหนังสือเพลง 1966
คุณจำหนังสือเพลงเล่มสีชมพูปกไวนิลชื่อ “ร้องเพลงและมีดนตรีคลอเสียงในใจของท่าน” ได้ไหม? เมื่อใกล้จะถึงการเตรียมการขั้นสุดท้าย บราเดอร์นอร์บอกว่า “เรากำลังจะบันทึกเสียงกันแล้ว. ผมอยากให้คุณรวบรวมวงออร์เคสตราเล็ก ๆ แค่มีไวโอลินไม่กี่คันและฟลุตสองสามเลา. ผมไม่อยากให้ใคร ‘เป่าแตร’!” หอประชุมที่เบเธลจะเป็นห้องบันทึกเสียงของเรา แต่มีความกังวลอยู่บ้างที่จะใช้หอประชุมนั้น. จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีเสียงสะท้อนจากผนังที่ไม่มีม่าน, จากพื้นกระเบื้อง, และจากเก้าอี้พับโลหะ? ใครจะช่วยเราแก้ปัญหาเสียงไม่ประสานกัน? มีคนหนึ่งเสนอแนะขึ้นว่า “ทอมมี มิตเชลล์ไงล่ะ! เขาทำงานที่ห้องอัดของเอบีซีเน็ตเวิร์ก.” เราติดต่อกับบราเดอร์มิตเชลล์ ซึ่งยินดีช่วยเรา.
เช้าวันเสาร์แรกที่จะบันทึกเสียงมาถึง และขณะที่บรรดานักดนตรีได้รับการแนะนำตัว บราเดอร์คนหนึ่งเอากล่องทรัมโบนขึ้นมา. ผมจำคำเตือนของบราเดอร์นอร์ได้ที่ว่า “ผมไม่อยากให้ใคร ‘เป่าแตร’!” แล้วตอนนี้ผมจะทำอย่างไร? ผมมองดูขณะที่พี่น้องคนนั้นเอาทรัมโบนออกมาจากกล่อง สวมท่อชักเข้าที่และเริ่มซ้อมเสียง. บราเดอร์คนนั้นคือทอม มิตเชลล์ และเสียงแรก ๆ ที่เขาเป่าออกมาช่างไพเราะเหลือเกิน. เขาทำให้ทรัมโบนมีเสียงเหมือนไวโอลิน! ผมคิดในใจว่า ‘พี่น้องคนนี้ต้องอยู่ด้วย!’ บราเดอร์นอร์ไม่เคยคัดค้านเลย.
ในวงออร์เคสตรานั้น เรามีนักดนตรีเก่ง ๆ กลุ่มหนึ่งและยังเป็นพี่น้องชายหญิงที่เปี่ยมด้วยความรักด้วย. ไม่มีใครเป็นดาราเอก! การบันทึกเสียงเป็นงานหนัก แต่ไม่มีใครบ่น. เมื่องานสำเร็จ เราก็น้ำตาซึมเมื่อต้องจากกัน; และความรู้สึกเป็นเพื่อนยังคงมีอยู่ท่ามกลางคนที่มีส่วนร่วม. เราทุกคนชื่นชมกับสิทธิพิเศษนั้น และเนื่องจากพระยะโฮวา เราทำงานให้สำเร็จได้.
สิทธิพิเศษอันเป็นบำเหน็จเพิ่มขึ้น
หลังจากหลายปี ผมก็ยังชอบงานรับใช้เต็มเวลา. ผมทำงานหมวดและงานภาคเป็นเวลา 28 ปี—ซึ่งผมชอบงานมอบหมายเหล่านั้นทุกงาน. แล้วก็ตามมาด้วยการดูแลหอประชุมใหญ่นอร์วัล ในมณฑลออนแทรีโอ. ซึ่งมีการประชุมหมวดทุกสุดสัปดาห์รวมทั้งการประชุมภาคภาษาต่างประเทศด้วย ผมกับไอลีนต่างก็ยุ่งกับงาน. ในปี 1979 ถึง 1980 พวกสถาปนิกและวิศวกรใช้อาคารหอประชุมใหญ่แห่งนั้นเพื่อวางแผนสร้างสาขาแห่งใหม่ของสมาคมฯ ที่เมืองฮาลตันฮิลส์. หลังจากงานที่หอประชุมใหญ่จบลง เราก็ได้รับงานมอบหมายอีกงานหนึ่งซึ่งทำให้เราเกี่ยวข้องเรื่องดนตรีอีกในบรุกลิน ตั้งแต่ปี 1982 ถึงปี 1984.
ภรรยาที่รักของผมเสียชีวิตในวันที่ 17 มิถุนายน 1994 เพียงเจ็ดวันหลังจากวันครบรอบวันแต่งงานครั้งที่ 59 ของเรา. เราได้ใช้เวลาเป็นไพโอเนียร์ร่วมกัน 51 ปีเต็ม.
เมื่อผมคิดรำพึงถึงประสบการณ์หลายอย่างในชีวิตของผม ผมไม่เคยลืมเลยว่าคัมภีร์ไบเบิลได้เป็นเครื่องนำทางอันล้ำค่าของผมสักเพียงไร. บางครั้ง ผมใช้พระคัมภีร์ฉบับส่วนตัวของไอลีนและได้รับความยินดีอย่างมากจากการสังเกตสิ่งที่กระตุ้นหัวใจของเธอ—ทั้งข้อ, วลีใดวลีหนึ่ง, และคำใดคำหนึ่งที่เธอหมายไว้. เช่นเดียวกับไอลีน ผมก็มีข้อคัมภีร์บางข้อที่มีความหมายพิเศษสำหรับผมด้วย. ข้อความตอนหนึ่งในบทเพลงสรรเสริญ 137 มีคำอธิษฐานอันไพเราะแด่พระยะโฮวาดังนี้: “โอ้ยะรูซาเลมเอ๋ย, ถ้าข้าพเจ้าลืมท่าน, ก็ขอให้มือขวาของข้าพเจ้าลืมฝีมือเพลงเสีย. ถ้าข้าพเจ้าไม่ระลึกถึงท่าน, หรือถ้าไม่นิยมกรุงยะรูซาเลมอย่างสูงสุด, ก็ขอให้ลิ้นของข้าพเจ้าติดอยู่กับเพดานปากเสียเถิด.” (บทเพลงสรรเสริญ 137:5, 6) แม้ว่าผมรักดนตรี ความยินดีสูงสุดของผมมาจากการรับใช้พระยะโฮวาอย่างภักดี ผู้ซึ่งประทานบำเหน็จให้ผมมีชีวิตที่อิ่มใจและพึงพอใจ.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 5 หอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 มิถุนายน 1973 อธิบายว่าเพราะเหตุใดนับแต่นั้นมา ใครที่จะรับบัพติสมาและเข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวาต้องเลิกใช้ยาสูบเสียก่อน.
[ภาพหน้า 28]
กับไอลีนในปี 1947
[ภาพหน้า 30]
ในการบันทึกเสียงสมัยแรก ๆ