เราลองดูพระยะโฮวา
เรื่องราวชีวิตจริง
เราลองดูพระยะโฮวา
เล่าโดย พอล สคริบเนอร์
“สวัสดีครับ คุณสแตกเฮาส์. เช้านี้ผมกำลังรับสั่งทำเค้กอีสเตอร์ และผมแน่ใจว่าคุณคงอยากสั่งเค้กสักก้อนหนึ่งสำหรับครอบครัวของคุณ.” ตอนนั้นเป็นปี 1938 ฤดูใบไม้ผลิเพิ่งเริ่ม และผมอยู่ที่เมืองแอตโก รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา ผมกำลังคุยกับลูกค้าที่ดีที่สุดคนหนึ่งในเขตที่ผมรับผิดชอบของบริษัทเจเนอรัลเบกกิง. ผมประหลาดใจเมื่อคุณสแตกเฮาส์ปฏิเสธ.
เธอบอกว่า “ฉันคิดว่าฉันคงไม่สนใจ ครอบครัวของเราไม่ฉลองอีสเตอร์.”
ขณะนั้นผมนึกอะไรไม่ออก. เอ แปลกนี่ ไม่ฉลองอีสเตอร์หรือ? จริงอยู่ กฎข้อแรกเกี่ยวกับหลักการขายคือ ลูกค้าถูกเสมอ. ทีนี้ผมจะทำอย่างไร? ผมลองพูดไปว่า “เค้กนี้หอมอร่อยนะครับ และผมรู้ว่าคุณเองก็ชอบเค้กของเรา. เออ ถึงคุณจะไม่ฉลองอีสเตอร์ แต่คุณไม่คิดหรือว่าครอบครัวของคุณจะชอบเค้กนี้?”
“ฉันคิดว่าไม่หรอกค่ะ” เธอพูดซ้ำคำเดิม “แต่คุณสคริบเนอร์คะ ฉันตั้งใจไว้ว่าจะต้องหาโอกาสคุยกับคุณ และตอนนี้คงเป็นโอกาสดีที่จะได้คุยกัน.” การสนทนาครั้งนั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตผมโดยสิ้นเชิง! นางสแตกเฮาส์ สมาชิกของหมู่คณะ (หรือประชาคม) พยานพระยะโฮวาในเบอร์ลิน นิวเจอร์ซีย์ ได้อธิบายความเป็นมาเกี่ยวกับการฉลองอีสเตอร์และมอบหนังสือเล่มเล็กให้ผมสามเล่ม. หนังสือเหล่านี้คือความปลอดภัย, ได้รับการเปิดเผย, และการคุ้มครอง (ภาษาอังกฤษ). ผมกลับบ้านและนำเอาหนังสือติดตัวไปด้วย ผมสงสัยใคร่รู้แต่ก็นึกหวั่นอยู่บ้าง. เรื่องราวที่ได้ฟังจากคุณสแตกเฮาส์คลับคล้ายคลับคลากับสิ่งที่ผมเคยได้ยินสมัยเด็ก.
ตอนแรกที่ติดต่อนักศึกษาพระคัมภีร์
ผมเกิดเมื่อวันที่ 31 มกราคม 1907 และในปี 1915 เมื่อผมอายุแปดขวบ พ่อเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง. ด้วยเหตุนี้ แม่กับผมจึงไปอาศัยอยู่กับคุณตาคุณยายที่บ้านหลังใหญ่
ในเมืองมอลเดน รัฐแมสซาชูเซตส์. ลุงเบนจามิน แรนซัม ญาติฝ่ายแม่ผม พร้อมด้วยภรรยาอาศัยอยู่บนชั้นสามในบ้านหลังนั้นเช่นกัน. ลุงเบนได้สมาคมคบหากับนักศึกษาพระคัมภีร์นานาชาติ ชื่อที่เรียกพยานพระยะโฮวาสมัยนั้นตั้งแต่ก่อนเริ่มศตวรรษที่ 20. ผมนิยมชมชอบลุงเบนมากทีเดียว แต่พวกญาติทางครอบครัวของแม่ซึ่งนับถือศาสนาเมโทดิสต์คิดว่าลุงเบนเป็นคนแปลก. หลายปีต่อมา ก่อนป้าจะหย่ากับลุง ป้าประสบความสำเร็จในการดำเนินเรื่องให้ลุงถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลจิตเวชเนื่องจากความเชื่อของท่านทางศาสนา! ครั้นแพทย์ในโรงพยาบาลได้ตรวจพบอย่างรวดเร็วว่าลุงเบนไม่มีอาการผิดปกติทางจิตแต่อย่างใด พวกเขาจึงปล่อยลุงกลับบ้านพร้อมกับคำขอขมา.ลุงเบนเคยพาผมไปยังการประชุมของนักศึกษาพระคัมภีร์นานาชาติในเมืองบอสตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้บรรยายมาเยี่ยมหรือในวาระพิเศษ. มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้บรรยายที่มาเยี่ยมคือชาลส์ เทซ รัสเซลล์ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางฐานะผู้รับผิดชอบดูแลงานเผยแพร่สมัยนั้น. ณ โอกาสพิเศษอีกครั้งหนึ่ง มีการฉาย “ภาพยนตร์เรื่องการทรงสร้าง.” แม้ตอนนั้นเป็นปี 1915 แต่ผมก็ยังจำภาพอับราฮามพายิศฮาคขึ้นภูเขาเพื่อถวายบุตรชายเป็นเครื่องบูชาได้อย่างแจ่มชัดจนทุกวันนี้. (เยเนซิศบท 22) ผมยังจำภาพที่อับราฮามกับยิศฮาคเดินขึ้นภูเขาพร้อมฟืนหอบใหญ่ได้ เนื่องด้วยอับราฮามไว้วางใจพระยะโฮวาเต็มที่. เพราะผมเป็นเด็กกำพร้าพ่อ ภาพนั้นติดตรึงใจผมมากทีเดียว.
ต่อมา ลุงเบนกับภรรยาย้ายไปที่รัฐเมน ส่วนแม่ของผมแต่งงานใหม่และพาพวกเราย้ายไปอยู่ที่นิวเจอร์ซีย์. ด้วยเหตุนั้น ผมจึงไม่ได้พบลุงเบนเป็นเวลานานมาก. ในนิวเจอร์ซีย์ ช่วงที่ผมเป็นวัยรุ่น ผมพบแมเรียน เนฟฟ์ เธอเป็นหนึ่งในจำนวนลูกแปดคนของครอบครัวที่นับถือนิกายเพรสไบทีเรียนซึ่งผมมักจะแวะไปเยี่ยม. ผมใช้เวลาแทบทุกเย็นวันอาทิตย์ขลุกอยู่กับครอบครัวนี้และกลุ่มเยาวชนของคริสตจักร ในที่สุดผมได้มาเป็นผู้เชื่อนิกายเพรสไบทีเรียนเสียเอง. กระนั้น บางอย่างที่ผมเรียนรู้ ณ การประชุมของนักศึกษาพระคัมภีร์ยังคงติดตัวผมอยู่. ปี 1928 ผมแต่งงานกับแมเรียน เราได้ลูกสาวคือดอริสกับลูอิส ซึ่งเกิดปี 1935 และ 1938 ตามลำดับ. เมื่อมีลูกที่เริ่มเดินเตาะแตะและทารกแรกเกิดอีกคนในครอบครัว เราสองคนสำนึกถึงความจำเป็นที่จะได้รับการชี้นำฝ่ายวิญญาณเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวของเรา.
พบความจริงในหนังสือเล่มเล็กเหล่านั้น
แมเรียนกับผมมองหาโบสถ์ที่เราจะเข้าร่วมและในที่สุดก็วางแผนจะไป. ทุกวันอาทิตย์ เราเปลี่ยนเวรกัน คนหนึ่งอยู่บ้านดูแลลูก ในขณะที่อีกคนหนึ่งแวะไปโบสถ์ที่เรามาดหมายจะเข้าร่วม. มีอยู่อาทิตย์หนึ่งเป็นเวรที่แมเรียนจะต้องอยู่บ้าน แต่ผมเสนอขอดูลูกแทน ทั้งนี้ เพื่อจะอ่านหนังสือความปลอดภัย เป็นเล่มแรกในจำนวนสามเล่มที่คุณสแตกเฮาส์ให้ผม. พอเริ่มอ่าน ผมก็วางไม่ลงเสียแล้ว! ผมเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่าผมพบอะไรบางอย่างซึ่งไม่มีโบสถ์ใดสามารถให้ได้. สัปดาห์ถัดมาก็ยังเป็นเช่นเดิม ผมสมัครใจอยู่บ้านดูแลลูก ขณะเดียวกันก็อ่านหนังสือเล่มที่สองได้รับการเปิดเผย. เรื่องที่ผมอ่านอยู่นั้นดูเหมือนเป็นเรื่องคุ้น ๆ อยู่บ้าง. เรื่องที่ลุงเบนเชื่อถือหรือเปล่า? ครอบครัวของเรามีความรู้สึกว่าศาสนาของลุงเหลวไหลไม่ได้เรื่อง. แมเรียนจะคิดอย่างไร? ผมไม่จำเป็นต้องวิตก. เมื่อผมเลิกงานกลับมาถึงบ้าน เพียงไม่กี่วันหลังจากอ่านเล่มที่มีชื่อ ได้รับการเปิดเผย แมเรียนทำให้ผมประหลาดใจเมื่อเธอเอ่ยขึ้นว่า “ฉันอ่านหนังสือทุกเล่มที่คุณเอามาไว้ที่บ้าน. หนังสือพวกนั้นน่าสนใจจริง ๆ.” โล่งใจไปที!
บนปกหลังของหนังสือเหล่านี้มีเรื่องเกี่ยวกับการออกหนังสือเหล่าศัตรู (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งเปิดโปงศาสนาเท็จอย่างเผ็ดร้อน. เราตกลงใจขอรับหนังสือดังกล่าว. อย่างไรก็ดี ก่อนที่เราจะส่งจดหมายไปขอ มีพยานฯ คนหนึ่งมาเคาะที่ประตู และเสนอหนังสือที่เราต้องการอยู่พอดี. หนังสือเล่มนั้นได้ช่วยเราตัดสินใจ! ตั้งแต่นั้นมาเราเลิกไปโบสถ์ และเริ่มเข้าร่วมประชุมกับพวกพยานพระยะโฮวาที่แคมเดน นิวเจอร์ซีย์. ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ในวันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม 1938 กลุ่มของเราประมาณ 50 คนได้ประชุมกันที่สนามหน้าบ้านซิสเตอร์สแตกเฮาส์—บ้านหลังที่ผมพยายามขายเค้กอีสเตอร์ให้—และฟังคำบรรยายที่บันทึกเสียงของบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดเรื่องการรับบัพติสมา. จากนั้นพวกเราก็เข้าไปในบ้านผลัดเสื้อผ้า แล้วพวกเราทั้ง 19 คนรับบัพติสมาในลำธารใกล้ ๆ ละแวกนั้น.
ตั้งใจแน่วแน่จะเป็นไพโอเนียร์
ไม่นานภายหลังการรับบัพติสมา มีซิสเตอร์คนหนึ่งในกลุ่มบอกผมเกี่ยวกับคนที่ยึดงานเผยแพร่เป็นกิจกรรมหลัก ที่เรียกกันว่าไพโอเนียร์. ผมอยากรู้ขึ้นมาทันทีและไม่ช้าก็ได้มารู้จักครอบครัวไพโอเนียร์. บราเดอร์โคนิกชายสูงอายุ, ภรรยาของเขา, พร้อมด้วยลูกสาวที่โตแล้ว ทุกคนเป็นไพโอเนียร์ในประชาคมที่อยู่ใกล้ ๆ. ฐานะเป็นบิดาของครอบครัว
ที่เพิ่งเริ่มต้น ผมรู้สึกประทับใจจริง ๆ เมื่อเห็นครอบครัวโคนิกมีความชื่นชมยินดีอย่างมากขณะทำงานเผยแพร่. ผมมักจะแวะไป, จอดรถส่งขนมไว้, และออกไปประกาศตามบ้านกับพวกเขา. ไม่ช้าไม่นาน ผมเองก็นึกอยากเป็นไพโอเนียร์. แต่ทำอย่างไรดีล่ะ? ผมกับแมเรียนมีลูกเล็ก ๆ สองคน และงานที่ผมทำอยู่นั้นต้องใช้เวลาและความอุตสาหะมากจริง ๆ. ที่จริง เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองได้ก่อตัวขึ้นในยุโรป และชายฉกรรจ์จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้สมทบกับกองทัพในสหรัฐ ฉะนั้นจึงมีปริมาณงานเพิ่มขึ้นให้พลเรือนอย่างพวกเราทำ. ผมได้รับการกระตุ้นให้รับเขตเพิ่มขึ้น และผมรู้ว่าด้วยตารางเวลาแบบนั้น ผมจะไม่มีโอกาสเป็นไพโอเนียร์ได้เลย.เมื่อผมคุยกับบราเดอร์โคนิกเกี่ยวกับความปรารถนาที่จะเป็นไพโอเนียร์ เขาพูดว่า “เพียงแต่ขยันทำงานรับใช้พระยะโฮวาต่อไปเรื่อย ๆ และตั้งเป้าหมายของคุณไว้จำเพาะพระองค์ด้วยการอธิษฐาน. พระองค์จะช่วยคุณได้สมปรารถนา.” ผมทำเช่นนั้นนานกว่าหนึ่งปี. ผมมักจะตรึกตรองข้อคัมภีร์ที่มัดธาย 6:8 ซึ่งรับรองกับเราว่าพระยะโฮวาทรงทราบความต้องการของเราก่อนจะทูลขอพระองค์ด้วยซ้ำ. และผมมุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติตามคำแนะนำที่มัดธาย 6:33 ที่ว่าจงแสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอไป. นอกจากนี้ ผมยังได้รับการหนุนใจเช่นกันจากบราเดอร์เมลวิน วินเชสเตอร์ ผู้รับใช้โซน (ปัจจุบันคือผู้ดูแลหมวด).
ผมพูดคุยกับแมเรียนเกี่ยวกับเป้าหมายของผม. เราคุยกันเกี่ยวกับถ้อยคำในมาลาคี 3:10 ซึ่งสนับสนุนเราให้ลองดูพระยะโฮวาว่าพระองค์จะทรงเทพรให้เราหรือไม่. ผมได้กำลังใจจากการตอบรับของเธอดังนี้: “ถ้าคุณอยากเป็นไพโอเนียร์ คุณอย่ามัวเป็นห่วงฉันเลย. ฉันสามารถดูแลลูกได้ระหว่างที่คุณเป็นไพโอเนียร์. ถึงอย่างไรเราก็ไม่จำเป็นต้องมีวัตถุปัจจัยมากมายอยู่แล้ว.” หลังการแต่งงานนานถึง 12 ปี ผมรู้แล้วว่าแมเรียนเป็นแม่บ้านที่มัธยัสถ์และพิถีพิถัน. ตลอดเวลาหลายปี เธอเป็นไพโอเนียร์คู่ใจที่ยอดเยี่ยม และเคล็ดลับประการหนึ่งที่ยังความสำเร็จในงานรับใช้เต็มเวลาเกือบ 60 ปีของเราก็เนื่องจากความสามารถของเธอที่จะอิ่มใจพอใจกับการมีวัตถุสิ่งของเพียงเล็กน้อย และทำให้ดูราวกับว่าเรามีบริบูรณ์.
เมื่อถึงฤดูร้อนปี 1941 ภายหลังการทูลอธิษฐานและวางแผนกันนานหลายเดือน ผมกับแมเรียนออมเงินได้ก้อนหนึ่ง และเราได้ซื้อรถพ่วงขนาด 5.5 เมตรซึ่งครอบครัวจะอยู่อาศัยและรอนแรมไปในที่ต่าง ๆ ได้. ผมลาออกจากงานและสมัครเป็นไพโอเนียร์ประจำในเดือนกรกฎาคม 1941 และรับใช้เต็มเวลาตั้งแต่นั้นเรื่อยมา. เขตงานมอบหมายแรกของผมคือจุดจอดรถสิบจุดบนถนนหมายเลข 50 ระหว่างนิวเจอร์ซีย์กับเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี ซึ่งการประชุมภาคของเราได้จัดขึ้นที่นั่นตอนต้นเดือนสิงหาคม. ผมได้รายชื่อและที่อยู่ของพี่น้องตลอดเส้นทางนั้น และผมเขียนจดหมายส่งล่วงหน้าให้เขารู้วันเวลาที่เขาจะพบผม. เมื่อเราไปถึงสถานที่ประชุมภาค ผมก็ไปหาแผนกไพโอเนียร์และรับงานมอบหมายอีกอย่างหนึ่ง.
“ผมจะลองดูพระยะโฮวา”
เราขนสรรพหนังสือใส่เต็มรถพ่วงคันเล็กของเราแล้วเข้าร่วมประชุมครั้งสุดท้ายในเมืองแคมเดนเพื่ออำลาพวกพี่น้อง. พร้อมด้วยลูกสาวเล็ก ๆ สองคนที่ต้องดูแลและยังไม่รู้ว่าหลังจากการประชุมใหญ่แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป แผนการของเราดูเหมือนจะเป็นจริงไปไม่ได้สำหรับพี่น้องบางคน และหลายคนในพวกนั้นพูดว่า “เดี๋ยวคุณก็คงกลับมา.” ผมจำคำพูดของผมได้ที่ว่า “ผมไม่ได้บอกว่าผมจะไม่กลับ. พระยะโฮวาตรัสว่าพระองค์จะทรงดูแลผม และผมจะลองดูพระยะโฮวา.”
หลังจากทำงานไพโอเนียร์หกสิบปีใน 20 เมืองจากรัฐแมสซาชูเซตส์ถึงรัฐมิสซิสซิปปี เราพูดได้เลยว่าพระยะโฮวาทรงทำมากกว่าที่พระองค์ทรงสัญญาไว้เสียอีก. พระพรที่พระองค์ประทานให้ผมกับแมเรียน และลูกสาวสองคนของเรานั้นมากเกินกว่าที่ผมได้คาดหวังเมื่อย้อนไปในปี 1941. พระพรนั้นรวมถึงการที่ลูกสาวของเราได้ทำงานรับใช้เป็นไพโอเนียร์ที่ซื่อสัตย์ในประชาคมใกล้เคียง และ (เมื่อนับครั้งสุดท้าย) เรามีลูกชายลูกสาวฝ่ายวิญญาณร่วมร้อยคนกระจัดกระจายอยู่ทั่วชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐ. ผมนำการศึกษาพระคัมภีร์กับ 52 คน และแมเรียนศึกษากับ 48 คน บุคคลเหล่านี้ก้าวหน้าจนถึงขั้นอุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวาพระเจ้า.
เดือนสิงหาคม 1941 เราไปถึงเมืองเซนต์หลุยส์และได้พบบราเดอร์ ที. เจ. ซัลลิแวนจากเบเธล. เขาได้นำจดหมาย
แต่งตั้งจากสมาคมว็อชเทาเวอร์มาให้ผม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผมมาก เนื่องจากอยู่ในภาวะสงครามและมีการเกณฑ์ทหาร. ผมบอกบราเดอร์ซัลลิแวนว่าภรรยาผมก็ใช้เวลาในงานเผยแพร่มากพอ ๆ กับผม และเธอเองอยากเป็นไพโอเนียร์ทำงานกับผมด้วย. แม้แผนกไพโอเนียร์ ณ การประชุมภาคยังไม่ได้เริ่มทำงาน แต่บราเดอร์ซัลลิแวนก็เซ็นอนุมัติทันทีให้แมเรียนเป็นไพโอเนียร์ได้ และถามเราว่า “หลังการประชุมภาคนี้แล้วคุณจะเป็นไพโอเนียร์ที่ไหน?” เราเองยังไม่รู้จะไปที่ไหน. เขาพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ณ การประชุมนี้คุณจะพบบางคนมาจากท้องที่ซึ่งต้องการไพโอเนียร์ แล้วคุณก็คงรู้เองว่าจะเป็นที่ไหน. คุณเพียงแต่เขียนมาแจ้งให้เราทราบว่าคุณอยู่ที่ไหน แล้วพวกเราจะส่งจดหมายแจ้งเขตงานมอบหมายให้คุณ.” นั่นคือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น. ปรากฏว่าบราเดอร์แจ็ก เดวิตต์ อดีตผู้รับใช้โซนรู้จักบางคนในเมืองนิวมาร์เกต รัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งมีบ้านสำหรับไพโอเนียร์ ที่นั่นต้องการไพโอเนียร์อีกสองสามคน. ดังนั้น หลังการประชุมภาคครั้งนั้นผ่านไป เราจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองนิวมาร์เกต.ในเมืองนิวมาร์เกตเรามีเหตุผลพิเศษที่จะมีความยินดี. เบนจามิน แรนซัมจากฟิลาเดลเฟียได้มาสมทบกับเราในงานไพโอเนียร์! ใช่ ลุงเบนแน่ ๆ เลย. น่าเพลิดเพลินยินดีเสียจริง ๆ ที่ได้ออกไปทำงานเผยแพร่ตามบ้านกับลุง หลังจากท่านได้เพาะเมล็ดแห่งความจริงลงในหัวใจของผมตอนอยู่ในเมืองบอสตันมากกว่า 25 ปีมาแล้ว! ทั้ง ๆ ที่ลุงเบนประสบความไม่แยแส, ถูกเยาะเย้ย, และถึงกับถูกครอบครัวข่มเหงนานนับปี ลุงเบนไม่เคยให้ความรักที่มีต่อพระยะโฮวาและงานรับใช้สูญสิ้นไป.
เราพักอยู่ที่บ้านไพโอเนียร์ในเมืองนิวมาร์เกตนานถึงแปดเดือน. ช่วงนั้น เราเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง อาทิ วิธีเอาไก่หรือไข่แลกกับหนังสือ. ในเวลาต่อมา ลุงเบน, ผมและแมเรียน, พร้อมกับสองสามีภรรยาและลูกสาวของเขาได้รับมอบหมายให้รับใช้ในฐานะไพโอเนียร์พิเศษที่เมืองฮาโนเวอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย—แห่งแรกในจำนวนหกเขตในรัฐเพนซิลเวเนียที่เราได้รับมอบหมายให้ทำระหว่างปี 1942 ถึง 1945.
ไพโอเนียร์พิเศษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
มีอยู่หลายครั้งระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่พวกเราต้องรับมือกับการเป็นปฏิปักษ์ เนื่องจากจุดยืนในเรื่องการรักษาความเป็นกลางของเรา แต่พระยะโฮวาทรงเกื้อหนุนพวกเรามิได้ขาด. ครั้งหนึ่งในเมืองโพรวินซ์ทาวน์ รัฐแมสซาชูเซตส์ รถบิวอิกคันเก่าของเราเสีย และผมต้องเดินหลายกิโลเมตรผ่านย่านคาทอลิกที่เป็นปรปักษ์เพื่อจะทำการกลับเยี่ยมเยียน. ผมเดินผ่านพวกหนุ่มอันธพาลที่จำหน้าผมได้และพากันร้องตะโกน. ผมเร่งฝีเท้าขณะเดียวกันก็มีเสียงก้อนหินดังหวือเฉียดหูผม ผมได้แต่หวังว่าเด็กหนุ่มเหล่านั้นจะไม่ไล่ตาม. ในที่สุด ผมก็ไปถึงบ้านผู้สนใจโดยปลอดภัย. แต่เจ้าของบ้านซึ่งเป็นสมาชิกที่ได้รับความนับถือของหน่วยทหารนอกประจำการของอเมริกาได้กล่าวขอโทษ และพูดว่า “คืนนี้ผมคงจะอยู่คุยด้วยไม่ได้ ผมลืมบอกว่าพวกเราจะออกไปดูหนัง.” ผมรู้สึกกลัว เพราะผมจำได้ว่าอันธพาลกลุ่มที่ขว้างปาก้อนหินใส่ผมยังอยู่ที่มุมถนน รอให้ผมกลับไปทางนั้น. อย่างไรก็ตาม ผมใจชื้นขึ้นเมื่อสุภาพบุรุษผู้นั้นพูดต่อว่า “ทำไมคุณไม่เดินไปพร้อมกับเราล่ะ? เราจะได้คุยกันระหว่างทาง.” ดังนั้น ผมจึงมีโอกาสให้คำพยานแก่เขา และผ่านจุดอันตรายไปได้อย่างปลอดภัย.
สมดุลทั้งด้านครอบครัวและงานรับใช้
หลังสงคราม เรามีเขตงานมอบหมายหลายแห่งในรัฐเวอร์จิเนีย รวมทั้งช่วงแปดปีที่รับใช้ฐานะไพโอเนียร์พิเศษและไพโอเนียร์ประจำในเมืองชาร์ลอตส์วิลล์. พอถึงปี 1956 ลูกสาวของเราโตเป็นผู้ใหญ่และแต่งงานไปแล้ว แมเรียนกับผมก็ย้ายที่อีก เรารับใช้เป็นไพโอเนียร์ที่เมืองแฮร์ริซันเบิร์ก รัฐเวอร์จิเนีย แล้วมาเป็นไพโอเนียร์พิเศษที่เมืองลินคอล์นตัน รัฐนอร์ทแคโรไลนา.
ในปี 1966 ผมได้รับมอบหมายเป็นผู้ดูแลหมวด งานซึ่งต้องเดินทางจากประชาคมหนึ่งไปอีกประชาคมหนึ่งและหนุนกำลังใจพวกพี่น้อง เหมือนกับที่บราเดอร์วินเชสเตอร์เคยหนุนกำลังใจผมตอนอยู่นิวเจอร์ซีย์ในช่วงทศวรรษ 1930. ผมรับใช้หมวดซึ่งมีหลายประชาคมในรัฐเทนเนสซีนานสองปี. ครั้นแล้ว มีการขอให้ผมกับแมเรียนกลับไปทำงานที่เรารักมากที่สุด ซึ่งก็คือการเป็นไพโอเนียร์พิเศษ. ตั้งแต่ปี 1968 ถึง 1977 เราได้รับใช้ฐานะไพโอเนียร์พิเศษทางตอนใต้ของสหรัฐ จากรัฐจอร์เจียไปจนถึงรัฐมิสซิสซิปปี.
ที่เมืองอิสมัน รัฐจอร์เจีย ผมได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลประชาคม (ปัจจุบันเรียกว่าผู้ดูแลผู้เป็นประธาน) แทนบราเดอร์พาวเวลล์ เคิร์กแลนด์ พี่น้องสูงอายุที่น่ารักซึ่งสุภาษิต 3:5, 6 ที่ว่า “จงวางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดใจของเจ้า, อย่าพึ่งในความเข้าใจของตนเอง: จงรับพระองค์ให้เข้าส่วนในทางทั้งหลายของเจ้า, และพระองค์จะชี้ทางเดินของเจ้าให้แจ่มแจ้ง.” ด้วยความเพียรพยายามจะพูดคุยกันอย่างเปิดอก เราจึงสามารถสร้างความเป็นเอกภาพขึ้นในประชาคมพร้อมกับมีผลดีแก่ทุกคน.
เคยรับใช้เป็นผู้ดูแลหมวดนานหลายปี แต่ตอนนี้สุขภาพไม่แข็งแรง. เขาเป็นคนหยั่งรู้ค่าและให้การสนับสนุนที่ดีเยี่ยม. การสนับสนุนของเขาเป็นสิ่งสำคัญเพราะมีการแตกแยกกันบางเรื่องภายในประชาคม แถมมีคนสำคัญบางคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย. ปัญหานั้นร้อนระอุ และผมได้ใช้เวลามากในการทูลอธิษฐานต่อพระยะโฮวา. ผมนึกถึงข้อคัมภีร์ อาทิมาถึงปี 1977 เราเริ่มตระหนักถึงอายุของเราอยู่บ้าง และเราได้รับมอบหมายเขตงานในชาร์ลอตส์วิลล์อีก ซึ่งลูกสาวของเราอยู่ที่นั่นกับครอบครัว. ตลอด 23 ปีที่ผ่านมานี้ เรารู้สึกชื่นชมยินดีที่ได้ทำงานในเขตนี้ เราได้ช่วยก่อตั้งประชาคมรักเกอส์วิลล์ เวอร์จิเนีย และได้เห็นลูกหลานของคนที่เคยศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเรารุ่นแรก ๆ เจริญเติบโตถึงขั้นเป็นผู้ดูแลในประชาคมต่าง ๆ, เป็นไพโอเนียร์, และสมาชิกเบเธล. ผมกับแมเรียนยังคงแข็งแรงพอจะรักษาตารางเวลาที่ดีในการออกประกาศในเขตงานได้ และผมยังมีสิทธิพิเศษรับใช้ด้วยความกระปรี้กระเปร่าฐานะผู้ปกครองในประชาคมอีสต์เมืองชาร์ลอตส์วิลล์ นำการศึกษาหนังสือประจำประชาคมและบรรยายสาธารณะ.
ตลอดเวลาหลายปี เราประสบปัญหาเหมือนคนอื่น ๆ. อย่างเช่น ทั้ง ๆ ที่เราบากบั่นพยายาม ดอริสกลายเป็นคนอ่อนแอฝ่ายวิญญาณระยะหนึ่งตอนที่โตเป็นสาว และแต่งงานกับชายซึ่งไม่เป็นพยานฯ. แต่เธอไม่ถึงกับสูญเสียความรักต่อพระยะโฮวา และบิลล์บุตรชายของเธอได้รับใช้เป็นเวลา 15 ปีในครอบครัวเบเธลวอลล์คิลล์ นิวยอร์ก. เวลานี้ทั้งดอริสและลูอิสต่างก็เป็นม่าย แต่ทั้งสองคนรับใช้ด้วยความชื่นชมยินดีอยู่ใกล้กันในฐานะไพโอเนียร์ประจำ.
ได้บทเรียนมากมายตลอดเวลาหลายปี
ผมได้เรียนรู้ที่จะใช้กฎง่าย ๆ เพียงไม่กี่ข้อเพื่อประสบความสำเร็จในการรับใช้พระยะโฮวา: การทำชีวิตให้เรียบง่ายเสมอ. จงเป็นแบบอย่างในการดำเนินงานทุกอย่าง รวมถึงในชีวิตส่วนตัวด้วย. ปฏิบัติตามการชี้นำทุกประการที่มาจาก “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม.”—มัดธาย 24:45, ล.ม.
แมเรียนได้นำรายการข้อเสนอแนะสั้น ๆ มาใช้เพื่อความสำเร็จในงานไพโอเนียร์ขณะที่ยังต้องเลี้ยงดูลูก ๆ อาทิ: จัดและรักษาตารางเวลาที่สามารถปฏิบัติตามได้. ทำให้งานรับใช้ประเภทไพโอเนียร์เป็นงานประจำชีพจริง ๆ. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ. พักผ่อนให้พอ. ไม่มีนันทนาการมากเกินไป. ทำให้ความจริง รวมทั้งทุกแง่มุมของงานรับใช้ เป็นประสบการณ์อันนำมาซึ่งความสนุกเพลิดเพลินแก่ชีวิตของลูก. ทำให้งานรับใช้เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจสำหรับลูก ๆ ตลอดเวลา.
ตอนนี้ อายุเราเกิน 90 แล้ว. หกสิบสองปีผ่านไปนับแต่เราได้ฟังคำบรรยายเรื่องการรับบัพติสมาของเรา ณ สนามหน้าบ้านของคุณสแตกเฮาส์ และเราก็ใช้เวลา 60 ปีไปกับงานรับใช้เต็มเวลา. ผมกับแมเรียนสามารถกล่าวด้วยความจริงใจว่าเรารู้สึกอิ่มใจพอใจอย่างสุดซึ้งกับสภาพการณ์ในชีวิตของเรา. ผมรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งที่ผมได้รับการชูใจขณะเป็นบิดาวัยหนุ่มให้ตั้งเป้าหมายฝ่ายวิญญาณไว้เป็นอันดับแรกแล้วพยายามปฏิบัติเรื่อยมา และรู้สึกขอบคุณแมเรียน ภรรยาสุดที่รักของผม พร้อมทั้งลูกสาวทั้งสองคนสำหรับการเกื้อหนุนตลอดเวลาหลายปี. แม้เราไม่ร่ำรวยด้านวัตถุเงินทอง แต่ผมนำเอาพระธรรมท่านผู้ประกาศ 2:25 (ล.ม.) มาใช้กับตัวเองบ่อย ๆ ที่ว่า “ด้วยว่าใครกินหรือใครดื่มดียิ่งกว่าข้าพเจ้า?”
ในกรณีของเรา พระยะโฮวาทรงโปรดให้เรามีบริบูรณ์ล้นเหลือจริง ๆ ตามคำสัญญาของพระองค์ ดังที่พบในมาลาคี 3:10. แท้จริง พระองค์ ‘เทพรให้เราจนเกินความต้องการ’!
[กรอบ/รูปภาพหน้า 29]
ความทรงจำในช่วงสงคราม
เกือบ 60 ปีหลังสงครามยุติ ทุกคนในครอบครัวยังจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ชัดเจน.
ดอริสเล่าว่า “เพนซิลเวเนียอากาศหนาวจัด. คืนหนึ่ง อุณหภูมิลบ 35 องศาเซลเซียส.” ลูอิสพูดเสริมว่า “ในรถบิวอิกคันบุโรทั่งของเรา ดอริสกับฉันจะนั่งทับเท้าของกันและกันไว้เพื่อไม่ให้มันหนาวเหน็บ.”
“แต่เราไม่เคยคิดว่าเรายากจนข้นแค้น” ดอริสพูด. “เรารู้ว่าเราย้ายบ้านบ่อยกว่าคนส่วนมาก แต่เรามีอาหารกินอิ่มหนำเสมอ และเราสวมใส่เสื้อผ้าดี ๆ ซึ่งได้มาจากเพื่อน ๆ บางคนในรัฐโอไฮโอ เพราะเขามีลูกสาวอายุไล่เลี่ยกับเรา.”
ลูอิสชี้แจงว่า “ทั้งแม่และพ่อทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นลูกรักและเป็นความปลื้มใจยินดีของท่าน และเราเองก็ใช้เวลามากมายไปในงานรับใช้กับท่าน. นี่คือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคนพิเศษและใกล้ชิดสนิทกับท่านมากทีเดียว.”
“ผมมีรถบิวอิกสเปเชียล รุ่นปี 1936” พอลนึกทวนความหลัง “และรถรุ่นนั้นมีชื่อเสียงในเรื่องเพลาหักง่าย. ผมคิดว่าเครื่องยนต์แรงเกินไปสำหรับตัวรถ. ดูเหมือนว่ามันเกิดขึ้นได้เสมอในคืนที่หนาวที่สุดของเดือน แล้วผมก็ต้องออกไปหาเพลาอีกอันหนึ่งจากซากรถเก่าที่เขาทิ้งแล้ว. ผมเลยกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเปลี่ยนเพลา.”
แมเรียนบอกว่า “อย่าลืมบัตรปันส่วน. ทุกอย่างถูกแบ่งสรรปันส่วน—ไม่ว่าเนื้อ, น้ำมันรถ, ยางรถยนต์, ของทุกอย่าง. ทุกครั้งที่เราไปถึงเขตงานใหม่ที่ได้รับมอบหมาย เราต้องไปพบเจ้าหน้าที่ที่ออกบัตร และขอรับบัตรปันส่วน. กว่าจะได้มาก็อาจนานเป็นเดือน ๆ และดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เราได้รับบัตรในที่สุด เราจะถูกส่งไปยังเขตมอบหมายอีกแห่งหนึ่ง และเราก็ต้องเริ่มดำเนินการอีก. ถึงอย่างไรพระยะโฮวาทรงใฝ่พระทัยดูแลเราเสมอ.”
[รูปภาพ]
แมเรียนกับผม ดอริส (ทางซ้าย) กับลูอิส ปี 2000
[ภาพหน้า 25]
กับคุณแม่ในปี 1918 เมื่อผมอายุ 11 ขวบ
[ภาพหน้า 26]
กับลูอิส, แมเรียน, และดอริสในปี 1948 เมื่อลูกสาวของเรารับบัพติสมา
[ภาพหน้า 26]
รูปแต่งงานของเรา เดือนตุลาคม 1928
[ภาพหน้า 26]
ลูกสาว (ซ้ายสุดและขวาสุด) และตัวผมเอง ณ สนามกีฬาแยงกี ปี 1955