คำสอนแท้ที่พระเจ้าพอพระทัย
คำสอนแท้ที่พระเจ้าพอพระทัย
เพื่อที่มวลมนุษย์บนโลกจะรู้ว่าคำสอนใดเป็นของแท้และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า พระเจ้าเองต้องเป็นผู้เปิดเผยความคิดของพระองค์แก่มนุษย์. และพระองค์จะต้องทำให้มนุษย์ทุกคนมีโอกาสทราบถึงการเปิดเผยนั้นด้วย. มีวิธีใดอีกที่มนุษย์จะรู้ได้ว่าอะไรคือหลักคำสอน, การนมัสการ, และแนวทางการประพฤติที่พระเจ้าพอพระทัย? พระเจ้าทรงให้ข้อมูลดังกล่าวไว้ไหม? ถ้าให้ พระองค์ทรงทำเช่นนั้นโดยวิธีใด?
เป็นไปได้ไหมที่มนุษย์คนใด ๆ ซึ่งมีช่วงชีวิตเพียงไม่กี่สิบปีจะติดต่อกับมนุษย์โลกทุกคนและทำหน้าที่เป็นผู้กลางเพื่อรับการติดต่อสื่อสารจากพระเจ้า? เป็นไปไม่ได้. แต่ข้อความที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้อย่างถาวรทำได้. ถ้าเช่นนั้น เป็นการเหมาะสมมิใช่หรือที่พระเจ้าจะจัดให้มีการเปิดเผยเรื่องราวในรูปแบบของหนังสือ? หนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่อ้างว่ามาจากพระเจ้าคือ คัมภีร์ไบเบิล. ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนพระเจ้าได้ทรงประสาทให้ย่อมเป็นประโยชน์สำหรับสั่งสอน, สำหรับตักเตือน, สำหรับดัดแปลงคนให้ดีขึ้น, และสำหรับสอนให้รู้ในความชอบธรรม.” (2 ติโมเธียว 3:16) ให้เรามาพิจารณาคัมภีร์ไบเบิลให้ละเอียดยิ่งขึ้นและดูว่าหนังสือเล่มนี้เป็นแหล่งของคำสอนแท้หรือไม่.
เก่าแก่แค่ไหน?
ในบรรดาคัมภีร์ทางศาสนาทั้งหลาย คัมภีร์ไบเบิลเป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดเล่มหนึ่ง. ส่วนแรก ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลเขียนขึ้นเมื่อประมาณ 3,500 ปีมาแล้ว. หนังสือนี้เขียนเสร็จในปี ส.ศ. 98. * แม้ผู้เขียนจะเป็นมนุษย์ประมาณ 40 คน ซึ่งเขียนในช่วงเวลา 1,600 ปี แต่ข้อความในคัมภีร์ไบเบิลสอดคล้องลงรอยกันตลอดทั้งเล่ม. ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากผู้ประพันธ์คัมภีร์ไบเบิลที่แท้จริงคือพระเจ้า.
คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มีการแปลและแจกจ่ายกว้างขวางที่สุดตลอดประวัติศาสตร์. แต่ละปีมีการแจกจ่ายคัมภีร์ไบเบิลประมาณ 60 ล้านเล่ม ทั้งที่เป็นเล่มครบชุดและบางส่วน. มีการแปลคัมภีร์ไบเบิลทั้งครบชุดและบางส่วนไป
มากกว่า 2,300 ภาษา. มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของครอบครัวมนุษย์สามารถหาคัมภีร์ไบเบิลได้ในภาษาของตนเอง อย่างน้อยก็บางส่วน. หนังสือเล่มนี้ไม่ถูกจำกัดเนื่องด้วยพรมแดนของประเทศต่าง ๆ, ความแตกแยกทางเชื้อชาติ, และสิ่งขวางกั้นด้านชาติพันธุ์.มีรูปแบบอย่างไร?
ถ้าคุณมีคัมภีร์ไบเบิล คุณน่าจะลองเปิดดูว่าหนังสือนี้มีรูปแบบอย่างไร. * ก่อนอื่น ลองเปิดไปที่สารบัญ. คัมภีร์ไบเบิลส่วนใหญ่มีสารบัญอยู่ที่หน้าแรก ๆ โดยมีชื่อพระธรรมต่าง ๆ และหมายเลขหน้าซึ่งจะพบพระธรรมเหล่านั้น. คุณจะสังเกตว่าที่จริงแล้วคัมภีร์ไบเบิลเป็นการนำพระธรรมหลาย ๆ เล่มมารวมเข้าด้วยกัน ซึ่งแต่ละเล่มมีชื่อเฉพาะ. พระธรรมเล่มแรกคือเยเนซิศ และเล่มสุดท้ายคือวิวรณ์. พระธรรมเหล่านี้ถูกจัดเป็นสองภาค. พระธรรม 39 เล่มแรกเรียกว่า พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู เนื่องจากพระธรรมในภาคนี้ส่วนใหญ่เขียนด้วยภาษาฮีบรู. ส่วน 27 เล่มหลังเขียนด้วยภาษากรีก รวมเข้าเป็นพระคัมภีร์ภาคภาษากรีก. บางคนเรียกพระคัมภีร์สองภาคนี้ว่า ภาคพันธสัญญาเดิมกับภาคพันธสัญญาใหม่.
พระธรรมต่าง ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลมีบทและข้อเพื่อง่ายแก่การอ้างอิง. เมื่อมีการอ้างถึงข้อคัมภีร์ในวารสารเล่มนี้ ตัวเลขแรกถัดจากชื่อพระธรรมคือเลขบทของพระธรรมนั้น และตัวเลขถัดมาคือเลขข้อ. ตัวอย่างเช่น เมื่ออ้างถึง “2 ติโมเธียว 3:16” ก็หมายถึง พระธรรมติโมเธียวฉบับสอง บทที่ 3 ข้อที่ 16. ลองดูว่าคุณหาข้อนี้ในคัมภีร์ไบเบิลของคุณเจอหรือไม่.
คุณเห็นด้วยมิใช่หรือว่าวิธีดีที่สุดที่จะคุ้นเคยกับคัมภีร์ไบเบิลก็คือการอ่านพระคัมภีร์เป็นประจำ? บางคนพบว่าเป็นประโยชน์หากอ่านพระคัมภีร์ภาคภาษากรีกก่อน โดยเริ่มจากพระธรรมมัดธาย. หากคุณอ่านพระคัมภีร์ประมาณวันละสามถึงห้าบท คุณจะอ่านจบได้ภายในหนึ่งปี. แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเรื่องที่คุณอ่านในคัมภีร์ไบเบิลเขียนขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าจริง ๆ?
คุณไว้ใจคัมภีร์ไบเบิลได้ไหม?
ไม่ควรหรือที่หนังสือซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าสำหรับมนุษย์ทุกคนจะมีคำแนะนำที่ไม่มีวันล้าสมัยในเรื่องการดำรงชีวิต? คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งนำมาใช้ได้กับมนุษย์ทุกชั่วอายุ และหลักการของคัมภีร์ไบเบิลก็ใช้ได้จริงในยุคปัจจุบัน เหมือนกับที่เคยใช้ได้ในตอนแรก. ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในเรื่องนี้คือคำบรรยายอันลือชื่อของพระเยซูคริสต์ ผู้ก่อตั้งศาสนาคริสเตียน. มีบันทึกเรื่องนี้ที่มัดธาย บท 5 ถึง บท 7. คำบรรยายนี้ซึ่งรู้จักกันว่า คำเทศน์บนภูเขา นอกจากจะแสดงให้เราเห็นวิธีพบความสุขแท้แล้ว ยังบอกวิธีจัดการกับข้อขัดแย้งต่าง ๆ, วิธีอธิษฐาน, ทัศนะที่ถูกต้องในเรื่องความจำเป็นด้านวัตถุ, และอีกหลายเรื่อง. ในคำบรรยายนี้ และส่วนอื่น ๆ ของคัมภีร์ไบเบิล หนังสือเล่มนี้บอกเราชัดเจนว่าเราต้องทำอะไรและหลีกเลี่ยงสิ่งใดเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัยและเพื่อปรับปรุงสภาพการณ์ในชีวิตของเรา.
อีกเหตุผลหนึ่งที่คุณสามารถไว้ใจคัมภีร์ไบเบิลได้ก็เพราะสิ่งที่หนังสือเก่าแก่เล่มนี้พูดถึงในเรื่องวิทยาศาสตร์นั้นถูกต้อง. ตัวอย่างเช่น ในสมัยที่คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่าโลกแบน คัมภีร์ไบเบิลได้พูดถึง “วงกลม [หรือ รูปทรงกลม] แห่งแผ่นดินโลก.” * (ยะซายา 40:22, ล.ม.) และมากกว่า 3,000 ปี ก่อนที่เซอร์ไอแซ็ก นิวตัน นักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงจะอธิบายว่าดาวเคราะห์ทั้งหลายลอยอยู่ในอวกาศที่ว่างเปล่าโดยอาศัยแรงโน้มถ่วง คัมภีร์ไบเบิลกล่าวด้วยถ้อยคำเชิงกวีว่า “โลกห้อยอยู่โดยมิได้ติดกับอะไร.” (โยบ 26:7) ขอพิจารณาคำพรรณนาเชิงกวีเรื่องวัฏจักรของน้ำซึ่งบันทึกไว้ประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว ที่ว่า “บรรดาแม่น้ำทั้งหลายไหลลงไปสู่ทะเล, ถึงกระนั้นทะเลก็ไม่รู้จักเต็ม; ถึงแม้ว่าแม่น้ำทั้งหลายจะไหลลงไปแล้วไหลลงไปอีก.” (ท่านผู้ประกาศ 1:7) ถูกแล้ว พระผู้สร้างเอกภพทรงเป็นผู้ประพันธ์คัมภีร์ไบเบิลด้วย.
ความถูกต้องแม่นยำทางประวัติศาสตร์ของคัมภีร์ลูกา 3:1 บอกตรงกับความจริงเมื่อพูดถึง “ปีที่สิบห้าในรัชกาลติเบเรียวกายะซา, ปนเตียวปีลาตเป็นเจ้าเมืองยูดาย, เฮโรดเป็นเจ้าเมืองฆาลิลาย.”
ไบเบิลแสดงว่าหนังสือเล่มนี้มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าจริง ๆ. เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีกล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่เป็นเพียงตำนาน. เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวข้องกับวันเวลา, ผู้คน, และสถานที่ที่เฉพาะเจาะจง. ตัวอย่างเช่นแม้ว่านักประวัติศาสตร์ในสมัยโบราณมักกล่าวแต่เรื่องความสำเร็จและคุณธรรมของผู้ปกครอง แต่ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลเป็นคนซื่อสัตย์ และถึงกับยอมรับข้อผิดพลาดของตนอย่างเปิดเผยด้วยซ้ำ. ตัวอย่างเช่น กษัตริย์ดาวิดแห่งอิสราเอลสารภาพว่า “ซึ่งข้าพเจ้าทำเช่นนี้เป็นความผิดใหญ่. . . . ด้วยข้าพเจ้ากระทำเป็นการหลงผิดไปมาก.” ถ้อยคำนี้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลอย่างตรงไปตรงมา. (2 ซามูเอล 24:10) และผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลอีกคนหนึ่งคือ โมเซ ได้บันทึกเหตุการณ์เมื่อตัวท่านเองไม่ได้แสดงความไว้วางใจพระเจ้าเที่ยงแท้.—อาฤธโม 20:12.
มีอีกสิ่งหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ข้อพิสูจน์ว่าคัมภีร์ไบเบิลมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า. สิ่งนั้นก็คือคำพยากรณ์ที่สำเร็จเป็นจริงในคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่เขียนไว้ล่วงหน้า. คำพยากรณ์เหล่านี้บางส่วนเกี่ยวข้องกับพระเยซูคริสต์. ตัวอย่างเช่น มากกว่า 700 ปี ก่อนที่พระเยซูประสูติ พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูบอกล่วงหน้าอย่างถูกต้องว่าผู้ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้จะมาเกิดที่ “บ้านเบธเลเฮ็มมณฑลยูดาย.”—มัดธาย 2:1-6; มีคา 5:2.
ขอพิจารณาอีกตัวอย่างหนึ่ง. ที่ 2 ติโมเธียว 3:1-5 คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ในคราวที่สุดนั้นจะบังเกิดกลียุค. เหตุว่าคนจะเป็นคนรักตัวเอง, เป็นคนเห็นแก่เงิน, เป็นคนอวดตัว, เป็นคนจองหอง, เป็นคนหลู่เกียรติยศของพระเจ้า, เป็นคนไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา, เป็นคนอกตัญญู, เป็นคนพาล, เป็นคนไม่รักซึ่งกันและกัน, เป็นคนไม่ยอมเป็นไมตรีกับใคร, เป็นคนหาความใส่เขา, เป็นคนไม่มีสติรั้งใจ, เป็นคนดุร้าย, เป็นคนชังคนดี, เป็นคนทรยศ, เป็นคนหัวดื้อ, เป็นคนหัวสูง, เป็นคนรักการสนุกสนานมากกว่ารักพระเจ้า เขามีสภาพธรรมภายนอก, แต่ฤทธิ์ของธรรมนั้นเขาปฏิเสธเสีย.” ข้อเหล่านี้พรรณนาทัศนะของคนทั่วไปในทุกวันนี้มิใช่หรือ? คำกล่าวนี้เขียนไว้เมื่อปี ส.ศ. 65 มากกว่า 1,900 ปีมาแล้ว!
คัมภีร์ไบเบิลสอนเราเรื่องอะไร?
ขณะที่คุณอ่านเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิล คุณจะเห็นได้ว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นแหล่งแห่งสติปัญญาที่สูงส่ง. คัมภีร์ไบเบิลให้คำตอบที่น่าพอใจสำหรับคำถามต่าง ๆ เช่น ใครคือพระเจ้า? พญามารมีจริงไหม? พระเยซูคริสต์คือใคร? ทำไมจึงมีความทุกข์? เกิดอะไรขึ้นกับเราเมื่อเราตาย? คำตอบที่คุณอาจได้ยินจากคนอื่นแตกต่างกันออกไปตามความเชื่อและธรรมเนียมของผู้ให้คำตอบ. แต่คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย. ไม่เพียงเท่านั้น คัมภีร์ไบเบิลยังมีคำแนะนำที่ดีที่สุดในเรื่องการประพฤติและทัศนคติต่อเพื่อนมนุษย์และผู้มีอำนาจด้วย. *
คัมภีร์ไบเบิลบอกอะไรเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับแผ่นดินโลกและมนุษย์? หนังสือนี้มีคำสัญญาว่า “ยังอีกหน่อยหนึ่ง, คนชั่วจะไม่มี . . . แต่คนทั้งหลายที่มีใจถ่อมลงจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก, และเขาจะชื่นชมยินดีด้วยความสงบสุขอันบริบูรณ์.” (บทเพลงสรรเสริญ 37:10, 11) “พระเจ้าเองจะดำรงอยู่กับ [มนุษยชาติ], . . . และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีต่อไป การคร่ำครวญและร้องไห้และการเจ็บปวดอย่างหนึ่งอย่างใดจะไม่มีอีกเลย เพราะเหตุการณ์ที่ได้มีอยู่แต่ดั้งเดิมนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว.” (วิวรณ์ 21:3, 4) “คนสัตย์ธรรมจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก, และจะอาศัยอยู่ที่นั่นต่อไปเป็นนิตย์.”—บทเพลงสรรเสริญ 37:29.
คัมภีร์ไบเบิลยังบอกล่วงหน้าด้วยว่าสงคราม, อาชญากรรม, ความรุนแรง, และความชั่วจะหมดไปในไม่ช้า. ความเจ็บป่วย, ความชรา, และความตายจะไม่มีอีกต่อไป. ชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยานจะกลายเป็นความจริง. ช่างเป็นความหวังที่น่ายินดีเพียงไร! และสิ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นความรักของพระเจ้าต่อมนุษยชาติชัดเจนเพียงไร!
คุณจะทำอย่างไร?
คัมภีร์ไบเบิลเป็นของประทานอันยอดเยี่ยมจากพระผู้สร้าง. คุณควรทำอย่างไรกับหนังสือนี้? ชายคนหนึ่งซึ่งนับถือศาสนาฮินดูเชื่อว่า หากจะให้การเปิดเผยจากพระเจ้าเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทุกคน การเปิดเผยนั้นจะต้องมีมาตั้งแต่เริ่มมีอารยธรรมมนุษย์. เมื่อได้รู้ว่าบางส่วนของคัมภีร์ * อาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งในสหรัฐก็ยอมรับว่าเขาจำเป็นต้องอ่านหนังสือที่มีการแจกจ่ายกว้างขวางที่สุดในโลกเล่มนี้ก่อนจะลงความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับหนังสือนี้.
ไบเบิลเก่าแก่กว่าข้อเขียนที่เก่าแก่ที่สุดของศาสนาฮินดู (คัมภีร์พระเวท) เสียอีก เขาจึงตัดสินใจจะอ่านคัมภีร์ไบเบิลและศึกษาเนื้อหาในนั้น.การอ่านคัมภีร์ไบเบิลและการนำสิ่งที่คัมภีร์สอนมาใช้จะให้ประโยชน์มากมาย. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ความสุขย่อมมีแก่ผู้ที่ . . . ความยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระบัญญัติของพระยะโฮวา; และเขาคิดรำพึงอยู่ในพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน. เขาเป็นดุจดังต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมทางน้ำ, ซึ่งเกิดผลตามฤดู, ใบก็ไม่รู้เหี่ยวแห้ง; และบรรดากิจการที่เขากระทำนั้นก็เจริญขึ้น.” * (บทเพลงสรรเสริญ 1:1-3) การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและการใคร่ครวญเกี่ยวกับสิ่งที่กล่าวในคัมภีร์ไบเบิลจะทำให้คุณมีความสุข เพราะความต้องการที่อยู่ลึก ๆ ในใจคุณจะได้รับการตอบสนอง. (มัดธาย 5:3) คัมภีร์ไบเบิลจะทำให้คุณเห็นว่าจะใช้ชีวิตอย่างที่เกิดผลดีได้อย่างไร และจะรับมือกับปัญหาต่าง ๆ อย่างเป็นผลสำเร็จได้อย่างไร. ใช่แล้ว “การรักษาข้อความเหล่านั้น [กฎหมายของพระเจ้าที่แสดงไว้ในคัมภีร์ไบเบิล] ไว้จะมีบำเหน็จเป็นอันมาก.” (บทเพลงสรรเสริญ 19:11) ยิ่งกว่านั้น การวางใจในคำสัญญาของพระเจ้าจะทำให้คุณได้รับพระพรในปัจจุบันและทำให้คุณมีความหวังที่ยอดเยี่ยมในอนาคต.
คัมภีร์ไบเบิลกระตุ้นเราดังนี้: “ดุจดังทารกที่เพิ่งคลอด จงปลูกฝังความปรารถนาจะได้น้ำนมอันไม่มีอะไรเจือปนที่เป็นของพระคำ.” (1 เปโตร 2:2, ล.ม.) ทารกจำเป็นต้องได้รับอาหารและมักจะร้องจนกว่าจะได้ตามต้องการ. เช่นเดียวกัน เราจำเป็นต้องได้รับความรู้ที่มาจากพระเจ้า. ดังนั้น “จงปลูกฝังความปรารถนา” หรือความต้องการอย่างแรงกล้าเพื่อจะได้พระคำของพระเจ้า. คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มีคำสอนแท้จากพระเจ้า. จงตั้งเป้าที่จะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ. พยานพระยะโฮวาในท้องถิ่นของคุณยินดีจะช่วยคุณให้ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการศึกษา. เรายินดีเชิญคุณด้วยใจจริงให้ติดต่อกับพวกเขา. หรือคุณอาจเขียนถึงผู้จัดพิมพ์วารสารนี้ก็ได้.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 5 ส.ศ. หมายถึง “สากลศักราช” ซึ่งมักเรียกกันว่า ค.ศ. (A.D. อันโน โดมีนี หมายถึง “ในปีแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า”) ก่อน ส.ศ. หมายถึง “ก่อนสากลศักราช.”
^ วรรค 8 ถ้าคุณไม่มีคัมภีร์ไบเบิลส่วนตัว พยานพระยะโฮวายินดีจะให้เล่มหนึ่งแก่คุณ.
^ วรรค 13 คำภาษาเดิมที่มีการแปลว่า “วงกลม” ที่ยะซายา 40:22 (ล.ม.) อาจแปลได้ด้วยว่า “รูปทรงกลม.” คัมภีร์ไบเบิลบางฉบับใช้คำว่า “รูปทรงกลมแห่งแผ่นดินโลก” (ฉบับแปลดูเอย์) และ “ลูกโลกกลม.”—ฉบับแปลของมอฟฟัตต์.
^ วรรค 19 เรื่องเหล่านี้มีพิจารณาในหนังสือความรู้ซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
^ วรรค 23 เพลงสวดที่เก่าแก่ที่สุดในคัมภีร์พระเวทเชื่อกันว่าแต่งขึ้นเมื่อเกือบ 3,000 ปีมาแล้วและมีการถ่ายทอดต่อ ๆ กันมาแบบปากต่อปาก. พี. เค. สารัถกุมาร เขียนในหนังสือของเขาที่ชื่อ ประวัติศาสตร์อินเดีย (ภาษาอังกฤษ) ว่า “คัมภีร์พระเวทเขียนขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่สิบสี่นี้เอง.”
^ วรรค 24 พระยะโฮวาคือพระนามของพระเจ้าแห่งคัมภีร์ไบเบิล. ในคัมภีร์ไบเบิลหลายฉบับแปล จะพบพระนามนี้ได้ที่บทเพลงสรรเสริญ 83:18.
[ภาพหน้า 7]
“จงปลูกฝังความปรารถนา” จะได้พระคำของพระเจ้า. จงศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ
[ที่มาของภาพหน้า 5]
NASA photo