พระยะโฮวาประทานบำเหน็จบริบูรณ์แก่บรรดาผู้รักษาทางของพระองค์
เรื่องราวชีวิตจริง
พระยะโฮวาประทานบำเหน็จบริบูรณ์แก่บรรดาผู้รักษาทางของพระองค์
เล่าโดย โรมูอัลด์ สตัฟสกี
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองในเดือนกันยายน ปี 1939 ทางตอนเหนือของประเทศโปแลนด์เป็นยุทธภูมิที่มีการสู้รบอย่างดุเดือด. ผมก็เหมือนเด็กชายวัยเก้าขวบคนอื่น ๆ ที่อยากรู้อยากเห็น จึงเดินไปดูสมรภูมิซึ่งอยู่ไม่ไกล. ผมเห็นศพที่น่าสยดสยองเกลื่อนกลาดบนพื้นดิน และกลุ่มควันโขมงจนแทบหายใจไม่ออก. ถึงแม้ผมกำลังคิดเรื่องสำคัญที่ว่าจะกลับบ้านอย่างไรให้ปลอดภัย ก็มีคำถามเกิดขึ้นในใจ เช่น “ทำไมพระเจ้ายอมให้สิ่งร้าย ๆ เช่นนี้เกิดขึ้น? พระเจ้าเข้าข้างฝ่ายไหน?”
ไม่นานก่อนสงครามเลิก เยาวชนชายถูกเกณฑ์ไปทำงานให้ฝ่ายเยอรมนี. ใครก็ตามที่กล้าขัดขืนถูกแขวนบนต้นไม้หรือแขวนไว้ที่สะพานพร้อมกับป้ายติดหน้าอกว่า “คนทรยศ” หรือ “ผู้บ่อนทำลาย.” เราอยู่ที่เมืองกดีเนียซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกองกำลังของทั้งสองฝ่าย. เมื่อพวกเราออกไปตักน้ำนอกเมือง ลูกกระสุนและสะเก็ดระเบิดแหวกหวือข้ามศีรษะเรา และเฮนริกน้องชายของผมได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ความตาย. เนื่องด้วยสถานการณ์เลวร้ายน่ากลัว แม่จึงพาพวกเราเด็ก ๆ สี่คนหลบเข้าไปอยู่ในห้องใต้ถุนตึกเพื่อความปลอดภัย. เมื่ออยู่ที่นั่น เอยูเกนีอุสน้องชายวัยสองขวบก็เสียชีวิตด้วยโรคคอตีบ.
ผมถามตัวเองอีกครั้งว่า “พระเจ้าอยู่ที่ไหน? ทำไมพระองค์ปล่อยให้มีความทุกข์ยากเช่นนี้?” ถึงแม้ผมเป็นชาวคาทอลิกที่กระตือรือร้นและไปโบสถ์เป็นประจำ ผมหาคำตอบไม่ได้.
ผมรับเอาความจริง
คำถามของผมได้คำตอบจากแหล่งที่ไม่คาดคิด. สงครามยุติลงในปี 1945 พอย่างเข้าปี 1947 พยานพระยะโฮวาคนหนึ่งได้มาที่บ้านของเราในกดีเนีย. แม่ของผมได้สนทนากับพยานฯ และผมได้ยินเรื่องที่เขาคุยกันบ้าง. เนื่องจากเมื่อฟังดูก็มีเหตุมีผลดี ดังนั้นพวกเราขานรับคำเชิญไป
ยังการประชุมคริสเตียน. หนึ่งเดือนถัดมา แม้ยังไม่ค่อยเข้าใจความจริงจากคัมภีร์ไบเบิลได้เต็มที่ ผมก็ร่วมสมทบกลุ่มพยานฯ ท้องถิ่นและออกไปประกาศให้คนอื่นฟังเรื่องโลกที่ดีกว่า โลกที่จะไม่มีสงครามและการชั่วร้ายใด ๆ ทั้งสิ้น. งานนี้ทำให้ผมรู้สึกชื่นชมยินดีมาก.เดือนกันยายน 1947 ผมได้รับบัพติสมา ณ การประชุมหมวดที่เมืองโซพอต. ในเดือนพฤษภาคมปีถัดไป ผมเริ่มรับใช้ฐานะไพโอเนียร์ประจำ ด้วยการสละเวลาส่วนใหญ่ออกไปประกาศข่าวสารของคัมภีร์ไบเบิลแก่ผู้อื่น. นักศาสนาในท้องถิ่นไม่พอใจและได้ยุยงให้ใช้ความรุนแรงขัดขวางงานของเรา. คราวหนึ่ง ฝูงชนที่โกรธแค้นรุมทำร้าย ขว้างปาก้อนหินและทุบตีพวกเราอย่างร้ายกาจ. อีกโอกาสหนึ่ง พวกแม่ชีและนักบวชได้ยุยงฝูงชนให้จู่โจมเรา. พวกเราได้เข้าไปหลบภัยในสถานีตำรวจ แต่ฝูงชนล้อมอาคารไว้และข่มขู่จะทุบตีเรา. ในที่สุด มีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราจึงออกไปได้พร้อมกับมีกองกำลังคุ้มกันแน่นหนา.
สมัยนั้น ในละแวกที่พวกเราออกไปประกาศเผยแพร่นั้นยังไม่มีประชาคม. บางครั้งเราพักแรมกลางแจ้งในป่า. เรามีความสุขที่สามารถประกาศให้คำพยานทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย. เวลานี้มีหลายประชาคมที่เข้มแข็งในแถบนั้น.
รับใช้ที่เบเธลและถูกจับ
ปี 1949 ผมได้รับเชิญไปทำงานที่เบเธลในเมืองวูช. ที่จะได้รับใช้ที่นั่นนับว่าเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ! น่าเสียดาย ผมอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน. เดือนมิถุนายน 1950 หนึ่งเดือนก่อนงานของเราถูกสั่งระงับ ผมพร้อมกับพี่น้องคนอื่น ๆ ที่เบเธลถูกจับ. ผมถูกส่งตัวเข้าคุก และได้เผชิญหน้ากับวิธีการสอบสวนที่แสนหฤโหด.
เนื่องจากพ่อของผมทำงานบนเรือที่เดินทางไปนิวยอร์กเป็นประจำ เจ้าหน้าที่ที่สอบสวนจึงพยายามจะให้ผมยอมรับว่าพ่อเป็นสายลับให้ฝ่ายสหรัฐ. ผมต้องอดทนการสอบสวนที่ไร้ความปรานี. นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่สี่คนพยายามพร้อมกันที่จะให้ผมใส่ความปรักปรำบราเดอร์วิลเฮล์ม ไชเดอร์ ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้ดูแลกิจกรรมของพยานฯ ในประเทศโปแลนด์. พวกเขาเอาตะบองตีส้นเท้าผมจนแตกเป็นแผลมีเลือดไหล. ขณะนอนแผ่บนพื้น ผมมีความรู้สึกว่าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมร้องเรียกเสียงดังว่า “พระยะโฮวา โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วย!” ผู้ข่มเหงแปลกใจและหยุดตีกลางคัน. เพียงประเดี๋ยวเดียว พวกเขาก็หลับ. ผมรู้สึกผ่อนคลายและได้เรี่ยวแรงคืนมา. เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมมั่นใจว่าพระยะโฮวาผู้เปี่ยมด้วยความรักทรงตอบคำขอของผู้รับใช้ที่ได้อุทิศตัวเมื่อเขาร้องเรียกพระองค์. ความเชื่อของผมเข้มแข็งมั่นคงขึ้น และเป็นบทเรียนสอนผมให้ไว้วางใจพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม.
รายงานสรุปผลการสอบสวนรวมถึงคำให้การที่ไม่เป็นจริงซึ่งเขาอ้างว่าได้จากผม. เมื่อผมคัดค้าน นายตำรวจคนหนึ่งบอกผมว่า “นายไปให้การในชั้นศาลเอง!” นักโทษในห้องขังเดียวกันแสดงความเป็นมิตรโดยบอกผมว่าไม่ต้องวิตก เพราะรายงานสรุปผลนั้นอัยการฝ่ายทหารจะต้องสอบทวนความจริงอีกครั้ง ซึ่งผมจะมีโอกาสแก้ข้อกล่าวหาเท็จนั้น. แล้วก็เป็นจริงอย่างนั้น.
งานเยี่ยมหมวดและถูกจำคุกอีก
เดือนมกราคม 1951 ผมได้รับอิสรภาพ. หนึ่งเดือนต่อมา ผมเริ่มรับใช้ฐานะผู้ดูแลเดินทาง. แม้มีการสั่งห้าม แต่
ผมก็ได้ทำงานกับพี่น้องหลายคนเพื่อเสริมสร้างประชาคมให้เข้มแข็งและช่วยเพื่อนพยานฯ ที่กระเจิดกระเจิงเนื่องจากการทำงานตามหน้าที่ของตำรวจสันติบาล. เราสนับสนุนพวกพี่น้องให้ทำงานรับใช้ต่อไป. และในปีต่อ ๆ มา พี่น้องเหล่านี้ได้เป็นกำลังใจให้การเกื้อหนุนผู้ดูแลเดินทางและช่วยงานพิมพ์และงานแจกจ่ายสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลอย่างลับ ๆ.วันหนึ่งในเดือนเมษายน ปี 1951 หลังการร่วมประชุมคริสเตียน ผมถูกเจ้าหน้าที่สันติบาลจับกุมตัวได้ที่ถนน หลังการเฝ้าติดตามดูอย่างใกล้ชิด. เนื่องจากผมไม่ยอมตอบคำถามของเขา พวกเขาจึงพาผมไปยังเรือนจำไบด์กอเซสและเริ่มการสอบสวนผมในคืนนั้นเลย. ผมถูกสั่งให้ยืนพิงฝาผนังห้องนานถึงหกวันหกคืน โดยไม่ได้กินอาหารไม่ได้ดื่มน้ำ มิหนำซ้ำห้องยังเต็มไปด้วยควันบุหรี่ของพวกเจ้าหน้าที่. เขาใช้ตะบองตีผมแล้วเอาบุหรี่จี้. ครั้นผมเป็นลมหมดสติ เขาก็เอาน้ำสาดให้ฟื้นและเริ่มสอบสวนอีก. ผมทูลขอพละกำลังจากพระยะโฮวาเพื่อจะอดทนได้และพระองค์ทรงอุปถัมภ์ผม.
การติดคุกที่ไบด์กอเซสมีข้อดีอย่างหนึ่ง. ผมสามารถบอกเล่าความจริงจากพระคัมภีร์แก่ผู้คนที่นั่นซึ่งไม่อาจเข้าถึงด้วยวิธีอื่น. และจริง ๆ แล้ว มีหลายโอกาสที่จะให้คำพยาน. เนื่องจากสภาพการณ์ของเขาน่าเศร้าสลดและบ่อยครั้งสิ้นหวัง นักโทษเหล่านั้นพร้อมจะฟังและเปิดใจรับข่าวดี.
การเปลี่ยนแปลงสำคัญสองครั้ง
ไม่นานหลังจากได้รับอิสรภาพในปี 1952 ผมได้มาพบเนลา ไพโอเนียร์หญิงที่กระตือรือร้น. เธอเคยเผยแพร่เต็มเวลาทางภาคใต้ของโปแลนด์. ต่อมา เธอทำงานใน “โรงทำขนมปัง” ซึ่งเป็นชื่อที่เราตั้ง ที่จริงก็คือสถานที่มิดชิดลับตาคน ซึ่งเราได้พิมพ์สรรพหนังสือที่นี่. งานนี้จัดว่าเป็นงานที่ยากเพราะต้องตื่นตัวเฝ้าระวังและสละตัวเอง. ปี 1954 เราแต่งงานกันและทำงานรับใช้เต็มเวลาด้วยกันอย่างต่อเนื่อง กระทั่งลิเดียลูกสาวของเราเกิดมา. แล้วเราตกลงกันว่าเพื่อผมจะสามารถเดินทางเยี่ยมหมวดต่อไปได้ เนลาจะหยุดทำงานรับใช้เต็มเวลา กลับไปอยู่บ้าน และดูแลลูกสาวของเรา.
ปีเดียวกันนั้น เราเผชิญการตัดสินใจครั้งสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง. ผมถูกทาบทามให้รับใช้ฐานะผู้ดูภาค ซึ่งเป็นเขตงานที่กว้างใหญ่คลุมพื้นที่หนึ่งในสามของประเทศโปแลนด์. เราใคร่ครวญเรื่องนี้ด้วยการอธิษฐาน. ผมตระหนักดีว่าการเสริมกำลังพี่น้องให้เข้มแข็งภายใต้การสั่งห้ามเป็นเรื่องสำคัญเพียงใด. ช่วงนั้นมีพี่น้องหลายคนถูกจับกุมคุมขัง ด้วยเหตุนี้ การหนุนกำลังฝ่ายวิญญาณจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง. ด้วยการสนับสนุนของเนลา ผมตกลงรับหน้าที่มอบหมายนี้. พระยะโฮวาทรงช่วยผมในงานรับใช้ด้านนี้ตลอด 38 ปี.
รับผิดชอบดูแลงานใน “โรงทำขนมปัง”
ระหว่างช่วงนั้น ผู้ดูแลภาคมีหน้าที่รับผิดชอบดูแล “โรงทำขนมปัง” ซึ่งตั้งอยู่ในที่โดดเดี่ยว พ้นสายตาผู้คน. ตำรวจสะกดรอยตามเราไม่รู้จักหยุด พยายามหาจนพบแล้วสั่งปิดโรงพิมพ์ของเรา. พวกเขาทำสำเร็จเป็นบางครั้ง แต่เราก็ไม่เคยขาดอาหารฝ่ายวิญญาณที่จำเป็นเลย. เห็นได้ชัดว่าพระยะโฮวาทรงใฝ่พระทัยดูแลพวกเรา.
ผู้ที่จะได้รับเชิญให้ปฏิบัติภารกิจการพิมพ์ซึ่งเป็นงานหนักและอันตรายนั้นต้องเป็นคนซื่อสัตย์, ตื่นตัว, เสียสละตัวเอง, และเชื่อฟัง. คุณสมบัติประการต่าง ๆ ตามที่ว่านี้ทำ
ให้ “โรงทำขนมปัง” ดำเนินงานไปได้อย่างปลอดอันตราย. การหาสถานที่สำหรับการพิมพ์อย่างลับ ๆ นั้นไม่ง่าย. ที่ทางบางแห่งดูเหมือนว่าเหมาะ แต่พี่น้องแถบนั้นไม่ค่อยระวังตัว. บางแห่งพี่น้องก็สุขุมรอบคอบดี ทว่าสถานที่ไม่เอื้ออำนวย. พวกพี่น้องเต็มใจเสียสละอย่างมากทีเดียว. ผมหยั่งรู้ค่าพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นทุกคนที่ผมได้รับเกียรติให้ทำงานร่วมกับพวกเขา.การป้องกันและรักษาข่าวดี
ระหว่างช่วงหลายปีที่ยากลำบากนั้น พวกเราถูกกล่าวโทษเนือง ๆ ว่าเข้าร่วมกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ล้มล้างระบอบการปกครอง และถูกนำตัวขึ้นศาล. นี่เป็นปัญหาเพราะเราไม่มีทนายแก้ต่าง. ทนายความบางคนก็แสดงความเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนมากจะขยาดชุมชนและไม่อยากเสี่ยงที่จะสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้มีอำนาจปกครอง. อย่างไรก็ตาม พระยะโฮวาทรงทราบสิ่งที่เราต้องการ และพระองค์ทรงพลิกผันสถานการณ์ภายในเวลาอันควร.
อโลไอซี โปรสตัก ผู้ดูแลเดินทางจากกราโกว์ถูกปฏิบัติอย่างเหี้ยมโหดระหว่างการสอบสวนจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเรือนจำ. การยืนหยัดมั่นคงของเขาทั้ง ๆ ที่ถูกทรมานทั้งใจและกายเช่นนั้น เป็นเหตุให้เขาได้รับความนับถือและยกย่องจากนักโทษคนอื่น ๆ ในโรงพยาบาล. หนึ่งในจำนวนนี้ได้แก่ทนายความชื่อวีโตลด์ ลิส-โอลเชฟสกี ซึ่งรู้สึกประทับใจในความกล้าของบราเดอร์โปรสตัก. ทนายความคนนี้พูดคุยกับเขาหลายครั้งและได้ให้คำมั่นว่า “ทันทีที่ผมถูกปล่อยตัวและได้รับอนุญาตให้ว่าความได้อีก ผมจะเต็มใจและยินดีแก้ต่างให้ฝ่ายพยานพระยะโฮวา.” แล้วเขาก็ทำอย่างที่พูด.
นายโอลเชฟสกีมีทีมทนายความของเขาเอง ซึ่งการยึดมั่นของเขาต่อคำสัญญาที่ว่าจะช่วยพวกเรานั้นน่าชมเชยจริง ๆ. ในช่วงเวลาที่การต่อต้านขัดขวางเป็นไปอย่างรุนแรงที่สุดนั้น ทนายความกลุ่มนี้ช่วยแก้คดีให้พี่น้องประมาณ 30 คดีต่อเดือน—หนึ่งวันหนึ่งคดี! เนื่องจากนายโอลเชฟสกีจำเป็นต้องได้ข้อมูลที่ถูกต้องของทุกคดี ผมจึงได้รับมอบหน้าที่ให้ติดต่อกับเขา. ผมทำงานกับเขาร่วมเจ็ดปี คือช่วงระหว่างทศวรรษ 1960 ถึงทศวรรษ 1970.
ผมได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับงานกฎหมายระหว่างปีเหล่านั้น. บ่อยครั้ง ผมได้เฝ้าสังเกตการพิจารณาคดี ความคิดเห็นของทนายความ ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ วิธีการแก้ต่างทางกฎหมาย และการให้พยานหลักฐานของเพื่อนร่วมความเชื่อที่ถูกกล่าวหา. ทั้งหมดนี้เป็นประโยชน์มากต่อการช่วยเหลือพี่น้องของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกพี่น้องที่ถูกเรียกไปให้การเป็นพยานในศาลพึงรู้ว่าจะพูดอะไร และจะนิ่งเงียบเมื่อไร.
ระหว่างคดีกำลังดำเนินอยู่ นายโอลเชฟสกีมักจะค้างคืนที่บ้านของพยานพระยะโฮวา. ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีเงินจ่ายค่าโรงแรม แต่ตามที่เขาเคยพูดครั้งหนึ่งว่า “ก่อนการพิจารณาคดี ผมต้องการหายใจลึก ๆ สูดเอาทัศนคติของพวกคุณไว้.” ด้วยความช่วยเหลือของเขา หลายคดีจบลงอย่างน่าพอใจ. เขาว่าความให้ผมหลายครั้งทีเดียว และไม่เคยรับเงินจากผมเลย. ณ โอกาสหนึ่ง เขาไม่ยอมรับเงินค่าว่าความถึง 30 คดี. เพราะเหตุใด? เขาบอกว่า “ผมต้องการบริจาคแม้จะเล็กน้อยเพื่อสนับสนุนการงานของพวกคุณ.” และนั่นเป็นเงินจำนวนไม่ใช่น้อยเลย. การงานที่คณะทนายความของนายโอลเชฟสกีได้กระทำไม่พ้นสายตาพวกเจ้าหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาท้อใจในการให้ความช่วยเหลือพวกเรา.
ยากที่จะพรรณนาการให้คำพยานอย่างดีของพวกพี่น้องในช่วงที่ถูกดำเนินคดี. หลายคนได้มาที่ศาลเพื่อสังเกตการพิจารณาคดีและเป็นกำลังใจให้แก่พี่น้องที่ถูกกล่าวหา. ในช่วงที่มีคดีฟ้องร้องมากที่สุดนั้น ผมนับได้ 30,000 คนที่ให้การสนับสนุนภายในช่วงเวลาหนึ่งปี. ถือได้ว่านั่นคือเหล่าพยานฯ หมู่ใหญ่แน่นอน!
เขตงานมอบหมายใหม่
พอมาถึงปี 1989 คำสั่งห้ามกิจการของเราได้เพิกถอนแล้ว. สามปีต่อจากนั้น ได้มีการสร้างสำนักงานสาขาแล้วก็มีการอุทิศ. ผมได้รับเชิญให้ไปที่นั่นเพื่อทำงานฝ่ายบริการข้อมูลแก่โรงพยาบาล ผมตอบรับงานมอบหมายนี้ด้วยความยินดี. คณะทำงานของเราประกอบด้วยสามบุคคล ได้ให้การช่วยเหลือพี่น้องของเราที่ประสบปัญหาประเด็นเรื่องเลือดกิจการ 15:29.
และช่วยพวกเขาปกป้องจุดยืนของตัวเองซึ่งอาศัยสติรู้สึกผิดชอบของคริสเตียนเป็นหลัก.—ผมกับภรรยารู้สึกขอบคุณที่มีสิทธิพิเศษได้รับใช้พระยะโฮวาในงานเผยแพร่. เนลาเกื้อหนุนและเป็นกำลังใจให้ผมตลอดเวลา. ผมหยั่งรู้ค่าเสมอว่า ยามใดก็ตามที่ผมยุ่งอยู่กับงานในหน้าที่มอบหมายหรือติดคุก เลนาไม่เคยโอดครวญที่ผมไม่ได้อยู่ด้วย. ยามยากลำบาก แทนที่เธอจะยอมแพ้ต่อความเครียดทางใจและทางอารมณ์ กลับกลายเป็นว่าเธอพูดปลอบโยนผู้อื่น.
ยกตัวอย่าง ในปี 1974 ผมถูกจับพร้อมกับผู้ดูแลเดินทางคนอื่น ๆ. พี่น้องบางคนที่รู้เรื่องอยากจะบอกภรรยาผมอย่างนุ่มนวล. พอคนเหล่านั้นเห็นหน้าเธอก็ได้ถามว่า “ซิสเตอร์เนลา เตรียมใจให้ดีนะ คุณพร้อมจะฟังข่าวร้ายไหม?” ทีแรกเธอนิ่งเงียบด้วยความกลัวเพราะคิดว่าผมเสียชีวิตไปแล้ว. ครั้นรู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ เธอพูดอย่างโล่งอกว่า “เขายังมีชีวิตอยู่! นี่ไม่ใช่การติดคุกครั้งแรกของเขานะจ๊ะ.” พี่น้องเล่าให้ผมฟังทีหลังว่าพวกเขารู้สึกประทับใจจริง ๆ ในท่าทีของเธอที่มองในแง่ดี.
แม้ว่าในอดีตเราเคยประสบความทุกข์ลำบากแสนสาหัสบ้าง แต่พระยะโฮวาได้ประทานบำเหน็จแก่เราอย่างบริบูรณ์เสมอ เนื่องจากเรายึดมั่นอยู่ในทางของพระองค์. เราดีใจเสียนี่กระไรที่ลิเดียลูกสาวของเราพร้อมด้วยอัลเฟรด เดรูชา สามีของเธอ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นคู่สมรสคริสเตียนตัวอย่าง. ทั้งคู่ได้อบรมเลี้ยงลูกชายสองคน คือคริสโตเฟอร์และโจนาทานจนเติบโตได้เป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวแด่พระเจ้า ซึ่งเพิ่มพูนความสุขแก่เรา. ริชาร์ดน้องชายและอูร์ซูลาน้องสาวของผมก็ยังเป็นคริสเตียนที่ซื่อสัตย์มานานหลายปีเช่นกัน.
พระยะโฮวาไม่เคยทอดทิ้งเรา และเราเองก็ต้องการรับใช้พระองค์ด้วยสิ้นสุดหัวใจต่อ ๆ ไป. พวกเราประสบด้วยตัวเองมาแล้วเกี่ยวด้วยความสัตย์จริงแห่งถ้อยคำในบทเพลงสรรเสริญ 37:34 ที่ว่า “จงคอยท่าพระยะโฮวา และรักษาทางของพระองค์ไว้, แล้วพระองค์จะทรงโปรดให้ท่านเลื่อนขึ้นได้มฤดกที่แผ่นดินนั้น.” เราคอยท่าเวลานั้นด้วยสุดหัวใจทีเดียว.
[ภาพหน้า 17]
ณ การประชุมใหญ่ที่จัดขึ้นในสวนของพี่น้องที่เมืองกราโกว์ ปี 1964
[ภาพหน้า 18]
กับเนลาภรรยาและลิเดียลูกสาวของเรา ปี 1968
[ภาพหน้า 20]
กับเด็กชายพยานฯ ก่อนที่เขาจะเข้ารับการผ่าตัดหัวใจโดยไม่ใช้เลือด
[ภาพหน้า 20]
กับนายแพทย์ไวส์ ศัลยแพทย์ใหญ่แผนกผ่าตัดหัวใจเด็ก โดยไม่ใช้เลือด ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่กาโตวิส
[ภาพหน้า 20]
กับเนลา ปี 2002