การเรียนรู้เหตุผลที่พระเจ้ายอมให้มีความทุกข์เปลี่ยนชีวิตผม
เรื่องราวชีวิตจริง
การเรียนรู้เหตุผลที่พระเจ้ายอมให้มีความทุกข์เปลี่ยนชีวิตผม
เล่าโดยแฮร์รี เพโลยัน
เหตุใดพระเจ้ายอมให้มีความทุกข์? คำถามนี้เคยรบกวนจิตใจผมตั้งแต่เด็ก. คุณพ่อคุณแม่ของผมเป็นคนขยันทำงาน, ซื่อสัตย์, และสนใจสวัสดิภาพของครอบครัว. แต่คุณพ่อไม่ใช่คนที่เคร่งศาสนา ส่วนคุณแม่ก็สนใจเรื่องศาสนาอยู่บ้าง. ดังนั้น พวกท่านจึงไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้.
ผมสงสัยคำถามนี้มากขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังจากนั้น ตอนที่ผมอยู่ในกองทัพเรือสหรัฐสามปีกว่า. หลังสงครามสงบ ผมได้รับมอบหมายให้ประจำการในเรือที่ถูกส่งไปประเทศจีนเพื่อส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์. ผมอยู่ที่นั่นเกือบหนึ่งปีและได้เห็นความทุกข์ของผู้คนมากมาย.
ชาวจีนเป็นคนขยันและฉลาด. แต่หลายคนมีสภาพชีวิตที่ยากลำบากอย่างยิ่งเพราะความยากจนรวมทั้งความรุนแรงซึ่งเป็นผลมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2. ผมรู้สึกสะเทือนใจมากที่เห็นเด็ก ๆ หน้าตาน่าเอ็นดูหลายคนผอมโซและเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เข้ามาขอทานจากพวกเราตอนที่เราขึ้นบก.
ทำไมผู้คนจึงทนทุกข์?
ผมเกิดปี 1925 และเติบโตในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา. ผมไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน. ดังนั้น ผมจึงถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ‘ถ้าพระผู้สร้างองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการมีจริง ทำไมพระองค์ยอมให้ผู้คนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก ๆ ที่ไร้เดียงสาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้?’
ผมยังสงสัยด้วยว่า ถ้าพระเจ้ามีจริง ทำไมพระองค์ยอมให้มนุษยชาติประสบกับความหายนะ, การสังหารหมู่, ความตาย, และความทุกข์ยากตลอดหลายศตวรรษ โดยเฉพาะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 50 ล้านคน. ยิ่งกว่านั้น ตลอดช่วงที่มีสงครามเหตุใดพวกนักเทศน์จึงยุยงให้คนที่อยู่ในศาสนาเดียวกันเข่นฆ่ากันเองเพราะความแตกต่างทางเชื้อชาติ?
กล้องโทรทรรศน์
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นในปี 1939 และผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนถูกสังหาร ผมรู้สึกว่าพระเจ้าไม่มีจริง. ต่อมาเมื่อเรียนวิทยาศาสตร์ในชั้นมัธยมปลาย นักเรียนแต่ละคนต้องประดิษฐ์อะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์. เนื่องจากผมสนใจเรื่องดาราศาสตร์ ผมจึงสร้างกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงโดยใช้กระจกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางแปดนิ้ว.
เพื่อจะสร้างกล้องโทรทรรศน์ดังกล่าว ผมซื้อกระจกหนาหนึ่งนิ้วกว่า ๆ และกว้างแปดนิ้วและให้ช่างตัดกระจกตัดเป็นวงกลม. จากนั้น ผมเริ่มฝนกระจกให้เว้าเข้าไปด้านหนึ่งด้วยความลำบากยากเย็น. ผมใช้เวลาว่างทั้งหมดตลอดเทอมทำงานนี้. เมื่อเสร็จ ผมนำกระจกนั้นไปติดในท่อโลหะยาว ๆ และนำเลนส์ตาขนาดต่าง ๆ มาติดกับกล้องนั้น.
ในคืนฟ้าใสไร้แสงจันทร์คืนหนึ่ง ผมนำกล้องโทรทรรศน์ที่ทำเสร็จแล้วไปใช้งานเป็นครั้งแรก และมองไปที่ดวงดาวต่าง ๆ และดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเรา. ผมรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งที่เห็นดวงดาวมากมายและเห็นความเป็นระเบียบเรียบร้อย. แล้วเมื่อผมได้เรียนเกี่ยวกับบางสิ่งที่ผมเคยคิดว่าเป็นดาว ซึ่งที่จริงก็คือกาแล็กซีที่เหมือนกับกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราที่ประกอบด้วยดาวนับพันล้านดวง ผมก็ยิ่งอัศจรรย์ใจมากขึ้น.
ผมคิดว่า ‘สิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นเองแน่ ๆ. สิ่งที่เป็นระเบียบเรียบร้อยไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ. เอกภพมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากราวกับมีผู้เปี่ยมด้วยสติปัญญาสร้างขึ้นมา. จริง ๆ แล้วอาจเป็นพระเจ้าไหม?’ สิ่งที่ผมเห็นในกล้องโทรทรรศน์ทำให้ผมต้องกลับไปทบทวนความคิดของผมเสียใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ผมเชื่อแน่ว่าไม่มีพระเจ้า.
ครั้นแล้วผมถามตัวเองว่า ‘ถ้าพระเจ้าผู้ทรงอำนาจมีจริงและทรงมีสติปัญญาในการสร้างเอกภพที่น่าทึ่งนี้ พระองค์จะไม่สามารถแก้ไขสภาพการณ์ที่น่าสลดใจบนแผ่นดินโลกหรือ? เหตุใดพระองค์ทรงยอมให้ความทุกข์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น?’ เมื่อผมถามคนที่เคร่งศาสนาด้วยคำถามเหล่านี้ พวกเขาไม่สามารถให้คำตอบที่จุใจได้เลย.
หลังจากจบชั้นมัธยมปลายและเรียนต่อในมหาวิทยาลัยอีกหลายปี ผมก็เข้าเป็นทหารในกองทัพเรือสหรัฐ. อย่างไร
ก็ตาม นักเทศน์ประจำกองทัพก็ไม่อาจตอบคำถามของผมได้เช่นกัน. คนที่เคร่งศาสนามักจะพูดทำนองนี้ว่า “มนุษย์ไม่อาจหยั่งรู้ความคิดขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้.”ผมแสวงหาต่อไป
หลังกลับจากประเทศจีน คำถามที่ว่าเหตุใดพระเจ้ายอมให้มีความทุกข์ยังคงอยู่ในใจของผม. คำถามนี้รบกวนจิตใจผมอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นสุสานทหารตามเกาะต่าง ๆ ที่เราแวะจอดเรือในมหาสมุทรแปซิฟิกระหว่างเดินทางกลับบ้าน. ร่างที่ฝังอยู่ในสุสานเกือบทั้งหมดคือเด็กหนุ่มที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร.
เมื่อผมกลับสหรัฐและปลดประจำการจากกองทัพเรือ ผมกลับไปเรียนต่ออีกหนึ่งปีที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์. ผมเรียนจบในปีถัดมาและได้รับปริญญา แต่ผมไม่ได้กลับบ้านที่แคลิฟอร์เนีย. ผมตัดสินใจอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐสักระยะหนึ่งเพื่อลองหาคำตอบสำหรับคำถามต่าง ๆ ของผม. ผมตั้งใจไปนิวยอร์กซึ่งมีศาสนาต่าง ๆ มากมายเพื่อจะเข้าร่วมการประชุมทางศาสนาบางอย่างเพื่อดูว่าพวกเขาสอนอะไรบ้าง.
ที่นิวยอร์ก คุณป้าอีซาเบล แคพิเจียน เชิญผมไปพักที่บ้าน. คุณป้าและลูกสาวสองคนคือ โรสและรูท เป็นพยานพระยะโฮวา. เนื่องจากผมไม่คิดจะสนใจความเชื่อของคุณป้าและลูก ผมจึงไปร่วมพิธีกรรมกับศาสนาอื่น พูดคุยกับผู้คนและอ่านหนังสือของพวกเขา. ผมมักจะถามสมาชิกของศาสนาเหล่านั้นว่า ทำไมพระเจ้ายอมให้มีความทุกข์ แต่พวกเขาก็ไม่รู้คำตอบพอ ๆ กับผม. ผมจึงลงความเห็นว่า บางทีอาจไม่มีพระเจ้าก็ได้.
พบคำตอบ
แล้วผมก็ขอยืมหนังสือของคุณป้ากับลูกสาวมาอ่านเพื่อจะรู้แนวคิดของพยานพระยะโฮวา. เมื่อผมอ่านหนังสือเหล่านั้น ผมเห็นทันทีว่าพยานฯ ต่างจากศาสนาอื่นมาก. คำตอบต่าง ๆ มาจากคัมภีร์ไบเบิลและเป็นคำตอบที่น่าพอใจจริง ๆ. ไม่นานคำถามของผมที่ว่าเหตุใดพระเจ้ายอมให้มีความทุกข์ก็ได้รับคำตอบ.
ไม่เพียงแค่นั้น ผมยังเห็นว่าพยานพระยะโฮวาดำเนินชีวิตสอดคล้องกับความเชื่อของตนด้วย. ตัวอย่างเช่น ผม
ถามคุณป้าว่า เด็กหนุ่มพยานพระยะโฮวาในเยอรมนีทำอย่างไรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2. พวกเขาเข้าร่วมในกองทัพและต้องกล่าวคำว่า “ไฮล์ ฮิตเลอร์!” รวมทั้งเคารพธงสวัสติกะไหม? คุณป้าตอบว่าไม่ พวกเขาไม่ทำ. และเนื่องจากการรักษาความเป็นกลาง เด็กหนุ่มเหล่านั้นจึงถูกส่งไปค่ายกักกันซึ่งหลายคนถูกสังหาร. คุณป้าอธิบายว่า ในช่วงสงครามฐานะของพยานพระยะโฮวาไม่ว่าที่ไหน ๆ ก็เหมือนกัน นั่นคือ เป็นกลาง. แม้แต่ในประเทศที่ปกครองแบบประชาธิปไตย เด็กหนุ่มพยานพระยะโฮวาก็ถูกจำคุกเพราะรักษาความเป็นกลาง.แล้วคุณป้าก็ขอให้ผมอ่านโยฮัน 13:35 ที่กล่าวว่า “คนทั้งปวงจะรู้ได้ว่าเจ้าเป็นเหล่าสาวกของเราก็เพราะว่าเจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน.” ความรักคือสิ่งที่ใช้ระบุตัวคริสเตียนแท้ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนในโลกก็ตาม. พวกเขาจะไม่อยู่คนละฝ่ายกันในยามสงคราม ทั้งไม่เข่นฆ่ากันเองเนื่องจากมีเชื้อชาติต่างกัน! คุณป้าถามว่า “หลานนึกภาพออกไหมที่พระเยซูกับเหล่าสาวกจะอยู่คนละฝ่ายกันในสงครามของโรมและเข่นฆ่ากันและกัน?”
แล้วคุณป้าก็ขอให้ผมอ่าน 1 โยฮัน 3:10-12 ด้วย. ข้อนั้นกล่าวว่า “ใครเป็นบุตรของพระเจ้า, และใครเป็นลูกของมารคือว่าคนใดที่ไม่ได้ประพฤติตามความชอบธรรม, และไม่ได้รักพี่น้องของตนคนนั้นก็ไม่ได้บังเกิดมาจากพระเจ้า. . . . ให้เราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน. อย่าให้เหมือนคายินที่มาจากมารนั้นและได้ฆ่าน้องของตัว.”
คำสอนของคัมภีร์ไบเบิลชัดเจน นั่นคือ คริสเตียนแท้จะรักซึ่งกันและกันไม่ว่าพวกเขาอยู่ในชาติใดก็ตาม. ด้วยเหตุนั้น พวกเขาไม่มีวันฆ่าพี่น้องร่วมความเชื่อของตนหรือใคร ๆ. นั่นเป็นเหตุที่พระเยซูตรัสเกี่ยวกับเหล่าสาวกได้ว่า “เขาไม่อยู่ฝ่ายโลกเหมือนข้าพเจ้าไม่อยู่ฝ่ายโลก.”—โยฮัน 17:16.
เหตุใดจึงยอมให้มีความทุกข์
ไม่ช้าผมได้เรียนรู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลบอกเหตุผลที่พระเจ้ายอมให้มีความทุกข์. พระคัมภีร์อธิบายว่าเมื่อพระเจ้าสร้างพ่อแม่คู่แรก พระองค์สร้างพวกเขาให้เป็นมนุษย์สมบูรณ์และอาศัยอยู่ในอุทยาน. (เยเนซิศ 1:26; 2:15) พระองค์ยังทรงให้ของประทานที่น่าปรารถนาอย่างยิ่งซึ่งก็คือเจตจำนงเสรี. แต่พวกเขาต้องใช้ของประทานนี้ด้วยความรับผิดชอบ. ถ้าพวกเขาเชื่อฟังพระเจ้าและกฎหมายของพระองค์ พวกเขาจะมีชีวิตสมบูรณ์ตลอดไปในอุทยาน. พวกเขาจะขยายสวนอุทยานออกไปจนกระทั่งเต็มแผ่นดินโลก. ลูกหลานของเขาก็จะเป็นมนุษย์สมบูรณ์ด้วย และในที่สุดโลกก็จะกลายเป็นสวนอุทยานที่สวยงาม เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สมบูรณ์ที่มีความสุข.—เยเนซิศ 1:28.
อย่างไรก็ตาม ถ้าอาดามและฮาวาเลือกที่จะเป็นเอกเทศไม่ขึ้นกับพระเจ้า พระเจ้าจะไม่ช่วยเขาให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ต่อไป. (เยเนซิศ 2:16, 17) น่าเสียดาย พ่อแม่คู่แรกของเราใช้เจตจำนงเสรีในทางที่ผิดและเลือกที่จะเป็นเอกเทศไม่ขึ้นกับพระเจ้า. พวกเขาถูกยุยงโดยกายวิญญาณที่ขืนอำนาจซึ่งเป็นที่รู้จักในเวลาต่อมาว่า ซาตานพญามาร. มันปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเป็นเอกเทศจากพระเจ้าและอยากได้การนมัสการที่ควรเป็นของพระเจ้าเท่านั้น.—เยเนซิศ 3:1-19; วิวรณ์ 4:11.
ด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงกลายเป็น “พระของสมัยนี้.” (2 โกรินโธ 4:4) คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “มนุษย์โลกทั้งสิ้นทอดตัวจมอยู่ในมารร้าย.” (1 โยฮัน 5:19) พระเยซูเรียกซาตานว่า “ผู้ครองโลก.” (โยฮัน 14:30) การที่ซาตานและพ่อแม่คู่แรกของเราไม่เชื่อฟังได้ก่อให้เกิดความไม่สมบูรณ์, ความรุนแรง, ความตาย, ความโศกเศร้า, และความทุกข์แก่มนุษยชาติทั้งมวล.—โรม 5:12.
“ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้”
เพื่อแสดงให้เห็นว่าการเพิกเฉยกฎหมายของพระผู้สร้างส่งผลกระทบต่อมนุษยชาติอย่างไร พระเจ้าจึงปล่อยให้ผลที่เกิดจากการไม่เชื่อฟังมีอยู่เป็นเวลาหลายพันปี. ในช่วงเวลานั้น มนุษยชาติทั้งสิ้นมีโอกาสมากพอที่จะเห็นว่าสิ่งที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลเป็นความจริงที่ว่า “ทางที่มนุษย์จะไปนั้นไม่ได้อยู่ในตัวของตัว, ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้. โอ้พระยะโฮวาได้โปรดแก้ผิดของข้าพเจ้า.”—ยิระมะยา 10:23, 24.
ตอนนี้ หลังจากหลายศตวรรษผ่านไปเราได้เห็นว่าการปกครองที่เป็นเอกเทศจากพระเจ้ามีแต่ความเสียหาย. ด้วยเหตุนี้ พระเจ้ามีพระประสงค์จะยุติการปกครองที่เป็นเอกเทศจากพระองค์และไม่ได้อาศัยกฎหมายของพระองค์.
อนาคตที่ยอดเยี่ยม
คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่า ในไม่ช้า พระเจ้าจะทำให้ระบบชั่วนี้ถึงกาลอวสาน: “เพราะว่ายังอีกหน่อยหนึ่ง, คนชั่วจะไม่มี . . . แต่คนทั้งหลายที่มีใจถ่อมลงจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก, และเขาจะชื่นชมยินดีด้วยความสงบสุขอันบริบูรณ์.”—บทเพลงสรรเสริญ 37:10, 11.
คำพยากรณ์ที่ดานิเอล 2:44 กล่าวว่า “ในสมัยเมื่อกษัตริย์เหล่านั้นกำลังเสวยราชย์อยู่ [การปกครองทุกรูปแบบที่มีอยู่ในขณะนี้], พระเจ้าแห่งสรวงสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรอันหนึ่งขึ้น, ซึ่งจะไม่มีวันทำลายเสียได้, หรือผู้ใดจะชิงเอาอาณาจักรนี้ไปก็หาได้ไม่; แต่อาณาจักรนี้จะทำลายอาณาจักรอื่น ๆ ลงให้ย่อยยับและเผาผลาญเสียสิ้น, และอาณาจักรนี้จะดำรงอยู่เป็นนิจ.” การปกครองของมนุษย์จะไม่มีอีกต่อไป. ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะปกครองแผ่นดินโลกทั้งสิ้น. ภายใต้การบริหารงานของราชอาณาจักรของพระเจ้า แผ่นดินโลกทั้งสิ้นจะกลายเป็นอุทยานและมนุษยชาติจะบรรลุถึงความสมบูรณ์และจะมีชีวิตตลอดไปอย่างมีความสุข. คัมภีร์ไบเบิลสัญญาว่า “พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีต่อไป การคร่ำครวญและร้องไห้และการเจ็บปวดอย่างหนึ่งอย่างใดจะไม่มีอีกเลย.” (วิวรณ์ 21:4) อนาคตที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์สำหรับเราช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ!
ชีวิตที่ต่างออกไป
การพบคำตอบที่น่าพอใจทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป. นับแต่นั้นมา ผมต้องการรับใช้พระเจ้าและช่วยคนอื่น ๆ ให้พบคำตอบเหล่านี้. ผมตระหนักถึงความสำคัญของข้อคัมภีร์ที่ 1 โยฮัน 2:17 ที่ว่า “โลกนี้ [ระบบนี้ซึ่งปกครองโดยซาตาน] กับความใคร่ของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าคงจะตั้งอยู่เป็นนิตย์.” ผมอยากมีชีวิตตลอดไปในโลกใหม่ของพระเจ้าเหลือเกิน. ผมตัดสินใจอยู่ที่นิวยอร์กต่อไปและเริ่มสมทบกับประชาคมของพยานพระยะโฮวาที่นั่น และมีโอกาสช่วยผู้คนมากมายให้เรียนรู้สิ่งที่ผมพบ.
ในปี 1949 ผมพบกับโรส แมรี ลูอิส. เธอกับเซดี แม่ของเธอ รวมทั้งพี่สาวน้องสาวอีกหกคนเป็นพยานพระยะโฮวา. โรสรับใช้พระเจ้าเต็มเวลาในงานประกาศ. เธอมีนิสัยที่น่ารักหลายอย่าง และผมประทับใจเธอทันที. เราแต่งงานกันในเดือนมิถุนายน 1950 และอยู่ที่นิวยอร์กต่อไป. เรามีความสุขในสิ่งที่เราทำและชื่นชมกับความหวังที่จะอยู่ตลอดไปในโลกใหม่ของพระเจ้า.
ในปี 1957 ผมกับโรส แมรีถูกเชิญให้มารับใช้เต็มเวลาที่สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในบรุกลิน นิวยอร์ก. เมื่อถึงเดือนมิถุนายน 2004 เราใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมาแล้ว 54 ปีและมีชีวิตสมรสที่มีความสุข โดยรับใช้ที่สำนักงานใหญ่ใน
บรุกลินด้วยกัน 47 ปี. เรารับใช้พระยะโฮวาอย่างมีความสุขและทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนร่วมความเชื่อหลายพันคน.ความทุกข์แสนสาหัส
น่าเศร้า ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2004 โรส แมรีได้รับการวินิจฉัยว่ามีก้อนเนื้องอกมะเร็งในปอดข้างหนึ่ง. แพทย์ลงความเห็นว่ามะเร็งโตเร็วมากและต้องทำการผ่าตัด. ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดต่อมาในเดือนเดียวกัน และหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ศัลยแพทย์ก็เข้ามาในห้องของโรสขณะที่ผมอยู่ด้วยและบอกว่า “คุณโรส แมรีกลับบ้านได้! คุณหายแล้ว!”
อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันหลังจากกลับบ้าน โรส แมรีปวดบริเวณท้องและที่อื่น ๆ อย่างรุนแรง. อาการปวดไม่ทุเลา เธอจึงกลับไปโรงพยาบาลอีกเพื่อตรวจเพิ่มเติม. ผลการตรวจพบว่า ด้วยสาเหตุบางประการได้เกิดลิ่มเลือดตามอวัยวะสำคัญ ๆ ในร่างกาย ทำให้อวัยวะเหล่านั้นไม่ได้รับออกซิเจนที่จำเป็น. แพทย์พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขแต่ไม่เป็นผล. เพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ในวันที่ 30 มกราคม 2005 มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมปวดร้าวใจที่สุดในชีวิต. โรส แมรีสุดที่รักจากผมไปแล้ว.
ตอนนั้นผมอายุเกือบ 80 ปีแล้วและได้เห็นความทุกข์ของผู้คนมาตลอดชีวิต แต่นี่ไม่เหมือนกัน. ผมกับโรส แมรีเป็นเหมือนที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ว่า “เนื้อหนังอันเดียวกัน.” (เยเนซิศ 2:24) ผมได้เห็นความทุกข์ของคนอื่น ๆ และรู้สึกเสียใจเมื่อเพื่อนและญาติเสียชีวิต. แต่เมื่อภรรยาของผมจากไป ความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นมันรุนแรงยิ่งกว่าและติดอยู่ในใจไปแสนนาน. ตอนนี้ผมเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมามนุษยชาติต้องโศกเศร้าเสียใจมากแค่ไหนเมื่อคนที่เขารักเสียชีวิต.
กระนั้น การเข้าใจสาเหตุของความทุกข์และรู้ว่ามันจะจบสิ้นลงอย่างไรได้ช่วยปลอบโยนผม. บทเพลงสรรเสริญ 34:18 กล่าวว่า “พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่ใกล้ผู้ที่มีใจชอกช้ำ, และคนที่มีใจสุภาพพระองค์จะทรงช่วยให้รอด.” สิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผมอดทนกับความทุกข์ครั้งนี้ได้คือการได้รู้คำสอนของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่าจะมีการกลับเป็นขึ้นจากตาย ซึ่งคนที่อยู่ในหลุมศพจะกลับเป็นขึ้นมาและมีโอกาสจะอยู่ตลอดไปในโลกใหม่ของพระเจ้า. กิจการ 24:15 กล่าวว่า “คนทั้งปวงทั้งคนชอบธรรมและคนที่ไม่ชอบธรรมจะเป็นขึ้นมาจากความตาย.” โรส แมรีรักพระเจ้าสิ้นสุดหัวใจ. ผมแน่ใจว่าพระองค์ทรงรักเธอเช่นกันและจะทรงระลึกถึงเธอและปลุกเธอให้เป็นขึ้นมาในเวลากำหนดของพระองค์ ซึ่งผมหวังว่าคงอีกไม่นาน.—ลูกา 20:38; โยฮัน 11:25.
ขณะที่การสูญเสียผู้เป็นที่รักนำมาซึ่งความโศกเศร้ามากมาย การต้อนรับผู้เป็นที่รักซึ่งกลับเป็นขึ้นจากตายจะก่อให้เกิดความยินดีมากยิ่งกว่านั้นอีก. (มาระโก 5:42) พระคำของพระเจ้าสัญญาว่า “คนของพระองค์ที่ตายแล้ว, จะกลับเป็น. . . . แผ่นดินโลกจะปล่อยคนตายให้คืนชีพ.” (ยะซายา 26:19) หลายคนในหมู่ “คนชอบธรรม” ที่กล่าวถึงในกิจการ 24:15 คงจะกลับเป็นขึ้นจากตายก่อน. นั่นคงจะเป็นสมัยที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ! และท่ามกลางคนที่กลับเป็นขึ้นจากตายจะมีโรส แมรีรวมอยู่ด้วย. เธอจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคนที่เธอรักอย่างแน่นอน! เมื่อถึงตอนนั้นจะน่ายินดีสักเพียงไรที่ได้อยู่ในโลกที่ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป!
[ภาพหน้า 9]
ผมได้เห็นความทุกข์ของผู้คนขณะอยู่ที่ประเทศจีน
[ภาพหน้า 10]
นับตั้งแต่ปี 1957 ผมได้มารับใช้ที่สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในบรุกลิน
[ภาพหน้า 12]
ผมแต่งงานกับโรส แมรีในปี 1950
[ภาพหน้า 13]
วันครบรอบแต่งงานปีที่ 50 ของเราในปี 2000