ได้รับประโยชน์จากความภักดีของผู้เป็นที่รัก
เรื่องราวชีวิตจริง
ได้รับประโยชน์จากความภักดีของผู้เป็นที่รัก
เล่าโดย แคทลีน คุก
ระหว่างการเยี่ยมญาติในเมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์ เมื่อปี 1911 คุณยายของฉัน แมรี เอลเลน ทอมป์สันได้เข้าฟังปาฐกถาของชาลส์ เทซ รัสเซลล์ สมาชิกคนสำคัญในคณะนักศึกษาพระคัมภีร์ ภายหลังเป็นที่รู้จักด้วยชื่อพยานพระยะโฮวา. คุณยายประทับใจในสิ่งที่ท่านได้ฟัง. เมื่อกลับไปแอฟริกาใต้ ท่านได้ติดต่อนักศึกษาพระคัมภีร์ในประเทศนั้น. เดือนเมษายน ปี 1914 ท่านเป็นหนึ่งใน 16 คนที่รับบัพติสมา ณ การประชุมใหญ่ซึ่งนักศึกษาพระคัมภีร์จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในแอฟริกาใต้. อีดิท ลูกสาวคุณยาย ตอนนั้นอายุหกขวบ ในเวลาต่อมา ท่านกลายเป็นมารดาของฉัน.
ภายหลังการตายของบราเดอร์รัสเซลล์ในปี 1916 เกิดมีความขัดแย้งกันท่ามกลางนักศึกษาพระคัมภีร์ในหลายประเทศทั่วโลก. ผู้ซื่อสัตย์ในเดอร์บันลดจำนวนจาก 60 เหลือประมาณ 12 คน. คุณย่าอิงเงอบอร์ก มือร์ดัล และเฮนรีลูกชายวัยรุ่นที่เพิ่งรับบัพติสมาได้ยืนหยัดอยู่ฝ่ายผู้ซื่อสัตย์ภักดี. ปี 1924 เฮนรีกลายเป็นคอลพอร์เทอร์ ชื่อเรียกผู้เผยแพร่ข่าวดีของพยานพระยะโฮวาสมัยนั้น. หลังจากนั้นเขาเดินทางเผยแพร่ไปในหลายภูมิภาคทางใต้ของทวีปแอฟริกาตลอดเวลาห้าปี. ปี 1930 เฮนรีแต่งงานกับอีดิท และฉันถือกำเนิดหลังจากนั้นสามปี.
ครอบครัวขยาย
พวกเราอาศัยอยู่ในประเทศโมซัมบิกระยะหนึ่ง แต่ในปี 1939 พวกเราย้ายไปอยู่กับคุณตาคุณยายที่โจฮันเนสเบิร์ก. คุณตาไม่สนใจความจริงในคัมภีร์ไบเบิล และบางครั้งก็ต่อต้านขัดขวางคุณยาย แต่ถึงอย่างไร
คุณตาก็เป็นคนใจกว้าง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่. เทลมา น้องสาวเกิดปี 1940 ฉันกับน้องสาวได้เรียนรู้การเอาใจใส่ความจำเป็นของผู้สูงอายุ. บ่อยครั้งเวลารับประทานอาหารมื้อค่ำ เราจะนั่งคุยกันยาวเกี่ยวกับเหตุการณ์ประจำวัน หรือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในอดีตที่ยังจำกันได้.ครอบครัวของเราชอบการคบหากับพวกพยานฯ ที่แวะมาเยี่ยม โดยเฉพาะผู้ที่รับใช้เต็มเวลา. พวกเขามักร่วมวงสนทนากับเราเวลารับประทานอาหารมื้อค่ำด้วยกัน และการสนทนาปราศรัยของพวกเขาได้เพิ่มพูนความหยั่งรู้ค่าต่อมรดกฝ่ายวิญญาณที่เรามีอยู่แล้ว. ทั้งนี้เป็นการเสริมความปรารถนาของฉันและของเทลมาให้อยากเป็นไพโอเนียร์เหมือนพวกเขา.
ตั้งแต่เป็นเด็ก เราถูกสอนให้ชอบการอ่าน. ไม่ว่ายาย, แม่, หรือพ่อต่างก็อ่านหนังสือนิทานดี ๆ หรืออ่านโดยตรงจากคัมภีร์ไบเบิลให้เราฟัง. วาระการประชุมคริสเตียนและงานรับใช้เป็นส่วนสำคัญในชีวิตพวกเราเหมือนการหายใจเลยทีเดียว. พ่อเป็นผู้รับใช้หมู่คณะของประชาคมโจฮันเนสเบิร์ก (ปัจจุบันเรียกว่าผู้ดูแลผู้เป็นประธาน) ฉะนั้น พวกเราต้องอยู่ ณ การประชุมก่อนเวลา. เมื่อเรามีการประชุมใหญ่ พ่อเป็นธุระเอาใจใส่งานด้านบริหาร ส่วนแม่ช่วยจัดเตรียมที่พักสำหรับตัวแทนที่เดินทางมาร่วมประชุม.
การประชุมใหญ่ครั้งพิเศษสำหรับพวกเรา
การประชุมใหญ่ปี 1948 ในโจฮันเนสเบิร์กถือเป็นครั้งพิเศษ. เป็นครั้งแรกที่มีสมาชิกคณะทำงานประจำสำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในบรุกลิน นิวยอร์กเข้าร่วมประชุมด้วย. พ่อได้รับมอบหน้าที่ให้ขับรถรับส่งนาทาน นอรร์และมิลตัน เฮนเชลระหว่างช่วงที่พวกเขาพักอยู่ในเมือง. ฉันรับบัพติสมา ณ การประชุมใหญ่ครั้งนั้น.
หลังจากนั้นไม่นาน พ่อถึงกับสะดุ้งเมื่อปู่บอกว่าปู่เสียใจอย่างยิ่งในการที่ปู่ยอมอยู่ใต้อิทธิพลของพวกออกหากซึ่งแยกตัวจากกลุ่มนักศึกษาพระคัมภีร์หลังการตายของบราเดอร์รัสเซลล์. ต่อจากนั้นเพียงไม่กี่เดือนปู่ก็เสียชีวิต. ในทางกลับกัน คุณย่ามือร์ดัลเป็นพยานฯ ที่ซื่อสัตย์ภักดีจนกระทั่งเสร็จสิ้นภารกิจทางแผ่นดินโลกในปี 1955.
เหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีผลกระทบมาถึงชีวิตฉัน
ฉันเริ่มงานเผยแพร่ฐานะไพโอเนียร์ประจำเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ปี 1949. ไม่นาน ความตื่นเต้นดีใจเริ่มทวีมากขึ้นเมื่อมีการแจ้งให้ทราบว่าปีถัดไปจะมีการประชุมนานาชาติในนครนิวยอร์ก. พวกเราอยากไป ทว่ากำลังทรัพย์ของเรามีไม่พอ. ครั้นแล้ว คุณตาทอมป์สันเสียชีวิตเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1950 และคุณยายได้ใช้เงินมรดกเป็นค่าเดินทางของพวกเราทั้งห้าคน.
เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนออกเดินทาง มีจดหมายมาจากสำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในบรุกลิน นิวยอร์ก. มันเป็นจดหมายเชิญเข้าโรงเรียนกิเลียดรุ่นที่ 16 เป็นหลักสูตรอบรมมิชชันนารี. ฉันตื่นเต้นดีใจเสียนี่กระไร เพราะตอนนั้นอายุฉันยังไม่ถึง 17 ปี! พอถึงเวลาเปิดเรียน ฉันเป็น
หนึ่งในจำนวนนักเรียนสิบคนจากแอฟริกาใต้ที่ได้รับสิทธิพิเศษยิ่งใหญ่นั้น.หลังจากจบหลักสูตรในเดือนกุมภาพันธ์ 1951 พวกเราแปดคนกลับไปเป็นมิชชันนารีในแอฟริกาใต้. ในช่วงสองสามปีต่อมา ส่วนใหญ่ฉันกับเพื่อนร่วมงานได้ประกาศเผยแพร่ในเมืองเล็ก ๆ ซึ่งพูดภาษาอาฟริกานส์. ตอนแรก ๆ ฉันไม่คุ้นภาษานี้ และจำได้ว่าวันหนึ่งระหว่างขี่จักรยานกลับบ้าน ฉันร้องไห้เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่สัมฤทธิ์ผลในงานเผยแพร่. แต่ในที่สุด ฉันปรับปรุงดีขึ้น และพระยะโฮวาทรงอวยพรความพยายามของฉัน.
การสมรสและงานเดินทาง
ปี 1955 ฉันมารู้จักกับจอห์น คุก. เขาเคยช่วยเปิดทางให้งานประกาศแผ่เข้าไปในประเทศฝรั่งเศส, โปรตุเกส, และสเปน ทั้งก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และในปีที่ฉันพบเขานั้น เขาทำงานฐานะมิชชันนารีในแอฟริกา. ต่อมาเขาบันทึกไว้ว่า “ภายในหนึ่งอาทิตย์ผมมีเรื่องให้ตกตะลึงถึงสามครั้ง . . . บราเดอร์ใจกว้างคนหนึ่งมอบของขวัญให้ผมเป็นรถยนต์คันเล็ก; ผมถูกแต่งตั้งเป็นผู้รับใช้ภาค; และผมตกหลุมรัก.” * เราแต่งงานในเดือนธันวาคม ปี 1957.
ช่วงที่เราติดต่อฝากรักกัน จอห์นรับรองกับฉันเพื่อให้มั่นใจว่าการร่วมชีวิตกับเขาจะไม่มีแม้เพียงชั่วขณะหนึ่งที่น่าเบื่อ และเขาพูดถูก. เราไปเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ทั่วแอฟริกาใต้ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของคนผิวดำอยู่อาศัย. อุปสรรคที่เราเจอสัปดาห์ละครั้ง คือต้องได้รับอนุญาตก่อนเข้าไปในพื้นที่เหล่านั้น เรื่องพักค้างคืนยังไม่ต้องพูดถึง. บางครั้ง เรานอนบนพื้นห้องในร้านที่ไม่มีคนอาศัย ในบริเวณที่อยู่ของคนผิวขาว เราพยายามซ่อนตัวหลบไม่ให้คนผ่านไปมาเห็น. ปกติแล้ว เราต้องพักอยู่กับพยานฯ ผิวขาวที่อยู่ใกล้ที่สุดซึ่งมักจะอยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร.
นอกจากนี้ เราเผชิญข้อท้าทายในเรื่องการปลูกสร้างสถานที่สำหรับการประชุมใหญ่อย่างง่าย ๆ ในป่า. เราจัดฉายภาพยนตร์ที่จัดทำโดยพยานพระยะโฮวาซึ่งช่วยผู้คนให้เข้าใจภราดรภาพของเราที่มีอยู่ทั่วโลก. เรานำเอาเครื่อง
ปั่นไฟไปเอง เนื่องจากบริเวณพื้นที่เหล่านั้นมักจะไม่มีไฟฟ้าใช้. อนึ่ง เราต้องรับมือความยุ่งยากในดินแดนที่อังกฤษปกครองเพราะที่นั่นสรรพหนังสือของเราถูกสั่งห้าม อีกทั้งข้อท้าทายในการเรียนภาษาซูลู. กระนั้น เรายินดีที่สามารถรับใช้พี่น้องของเรา.เดือนสิงหาคม 1961 จอห์นเป็นผู้สอนคนแรกของโรงเรียนพระราชกิจหลักสูตรสี่สัปดาห์ในแอฟริกาใต้ ซึ่งมุ่งหมายให้การช่วยเหลือบรรดาผู้ดูแลประชาคม. จอห์นช่ำชองด้านศิลปะการสอนและเข้าถึงหัวใจด้วยเหตุผลง่าย ๆ และอุทาหรณ์ที่ชัดเจน. เป็นเวลาประมาณปีครึ่งเราเดินทางอย่างต่อเนื่องไปยังสถานที่ซึ่งจัดเป็นชั้นเรียนสำหรับแต่ละรุ่นที่พูดภาษาอังกฤษ. ระหว่างที่จอห์นทำการสอน ฉันก็ออกไปร่วมงานประกาศกับพยานฯ ในท้องถิ่น. ครั้นแล้ว โดยไม่คาดคิด เราได้รับจดหมายเชิญให้เข้าไปรับใช้ที่สำนักงานสาขาแอฟริกาใต้ ใกล้โจฮันเนสเบิร์กเริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม 1964.
แต่ตอนนั้น เราชักไม่แน่ใจในด้านสุขภาพของจอห์น. ในปี 1948 เขาป่วยเป็นวัณโรคอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นเขามักจะแสดงอาการให้รู้ว่าไม่มีเรี่ยวมีแรง. เขาเคยป่วยด้วยอาการคล้าย ๆ ไข้หวัดและต้องนอนพักนานหลายวัน—ไม่สามารถทำงานและพบปะผู้คน. ไม่นานก่อนเราถูกเรียกตัวเข้าทำงานที่สำนักงานสาขา แพทย์ที่เราปรึกษาได้วินิจฉัยว่าจอห์นป่วยด้วยโรคซึมเศร้า.
เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ว่าเราจะเปลี่ยนจังหวะชีวิตโดยทำงานให้น้อยลงตามที่หมอแนะนำ. ที่สาขา จอห์นได้รับมอบหมายในแผนกการรับใช้ ส่วนฉันทำด้านพิสูจน์อักษร. และเป็นพระพรเหลือหลายที่เรามีห้องพักเป็นของตัวเอง! จอห์นเคยรับใช้ในเขตอันเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวโปรตุเกสก่อนเราแต่งงาน ดังนั้น ในปี 1967 เราถูกมอบหมายให้ช่วยสนับสนุนครอบครัวพยานฯ ชาวโปรตุเกสเพียงครอบครัวเดียวเท่านั้นในท้องถิ่นให้ประกาศเผยแพร่ในชุมชนใหญ่ซึ่งมีชาวโปรตุเกสอยู่กันมาก ทั้งในนครโจฮันเนสเบิร์กและพื้นที่โดยรอบ. นั่นหมายความว่าฉันยังจะต้องพากเพียรเรียนอีกภาษาหนึ่ง.
ด้วยเหตุที่ชุมชนโปรตุเกสอยู่กระจายเป็นบริเวณกว้าง เราจึงได้เดินทางไปหลายแห่ง บางครั้งเราเดินทางระยะไกลถึง 300 กิโลเมตรเพื่อจะพบผู้คนที่เราควรเยี่ยม. ถึงตอนนั้น เหล่าพยานฯ ที่พูดภาษาโปรตุเกสจากโมซัมบิกเริ่มมาเยี่ยมพวกเราเมื่อมีการประชุมใหญ่ ถือได้ว่าเป็นส่วนช่วยคนใหม่ ๆ ได้มาก. ช่วง 11 ปีของเรากับชาวโปรตุเกส เราได้เห็นกลุ่มเล็ก ๆ จากประมาณ 30 คนเจริญงอกงามเป็นสี่ประชาคม.
การเปลี่ยนแปลงที่บ้าน
ระหว่างนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างภายในบ้านพ่อแม่. ปี 1960 เทลมา น้องสาวแต่งงานกับจอห์น เออร์บัน ไพโอเนียร์จากสหรัฐ. ปี 1965 เขาทั้งสองเข้าเรียนในรุ่นที่ 40 ของโรงเรียนกิเลียด แล้วไปปฏิบัติงานฐานะมิชชันนารีอย่างภักดีในประเทศบราซิล 25 ปี. ปี 1990 ทั้งสองกลับคืนสู่รัฐโอไฮโอมาดูแลพ่อแม่ของจอห์นที่เจ็บป่วย. ถึงแม้จะเครียดเนื่องจากการปรนนิบัติผู้ป่วย แต่พวกเขายังคงทำงานรับใช้เต็มเวลากระทั่งทุกวันนี้.
คุณยายทอมป์สันเสร็จสิ้นภารกิจทางแผ่นดินโลกในปี 1965 ท่านรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้ากระทั่งเสียชีวิตเมื่ออายุ 98 ปี. ปีเดียวกันนั้นเอง พ่อก็เกษียณอายุพักจากงานอาชีพ. ดังนั้น เมื่อมีการขอให้ฉันกับจอห์นช่วยงานประกาศในเขตงานของผู้คนที่พูดภาษาโปรตุเกส พ่อกับแม่ได้อาสามาสมทบกับเรา. ท่านทั้งสองเป็นพลังผลักดันที่เข้มแข็งของกลุ่ม และเพียงไม่กี่เดือนก็มีการตั้งประชาคมแรกขึ้นมา. จากนั้นไม่นาน แม่เริ่มรู้สึกถึงผลกระทบของโรคมะเร็ง อันเป็นเหตุให้แม่เสียชีวิตในปี 1971. ส่วนพ่อก็เสียชีวิตหลังจากนั้นเจ็ดปี.
รับมือกับความป่วยไข้ของจอห์น
พอมาในช่วงทศวรรษ 1970 เห็นได้ชัดว่าสุขภาพของจอห์นไม่ดีขึ้น. งานรับใช้ที่เขาเคยทะนุถนอมมาโดยตลอด ก็เลยต้องสละสิทธิพิเศษบางอย่างออกไปทีละเล็กทีละน้อย รวมถึงการเป็นผู้นำการศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ ประจำสัปดาห์และการพิจารณาพระคัมภีร์ตอนเช้ากับครอบครัวที่สาขา. งานมอบหมายของเขาเปลี่ยนจากแผนกการรับใช้ไปอยู่แผนกจัดส่งจดหมาย แล้วเปลี่ยนไปทำงานในสวน.
ความที่จอห์นมีใจสู้จึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะยอมรับการเปลี่ยนแปลง. ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อฉันพยายามจะให้เขาผ่อนคลายบ้าง เขาก็ล้อว่าฉันเป็นตุ้มถ่วงโซ่ล่ามเขาไว้—แล้วก็จะโอบกอดฉันด้วยความหยั่งรู้ค่า. ในที่สุด เราเห็นว่าสมควรละเขตงานโปรตุเกสแล้วไปรับใช้ร่วมกับประชาคมซึ่งมีหอประชุมอยู่ในสาขา.
ขณะที่สุขภาพของจอห์นทรุดลงเรื่อย ๆ แต่ก็รู้สึกซาบซึ้งเมื่อสังเกตเห็นสัมพันธภาพใกล้ชิดของเขากับพระยะโฮวา. เมื่อจอห์นตื่นขึ้นมากลางดึกในภาวะซึมเศร้าอย่างหนัก เราคุยกันจนจิตใจเขาค่อยสงบลงและสามารถจะอธิษฐานทูลพระยะโฮวาขอความช่วยเหลือ. ในที่สุด เขาสามารถรับมือกับช่วงที่เกิดอาการซึมเศร้าได้ด้วยตัวเองโดยบังคับตัวกล่าวถ้อยคำในฟิลิปปอย 4:6, 7 อย่างช้า ๆ และซ้ำหลายครั้งที่ว่า “อย่ากระวนกระวายด้วยสิ่งใดเลย . . . ” ครั้นแล้วเขาสงบอารมณ์ได้และจะเริ่มอธิษฐาน. บ่อยครั้งฉันตื่นขึ้นมาและเฝ้าดูเขาทำปากขมุบขมิบขณะตั้งใจทูลอ้อนวอนต่อพระยะโฮวา.
เนื่องจากตอนนั้นอาคารสำนักงานสาขาคับแคบไปมาก จึงมีการเริ่มก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่และใหญ่กว่าเดิมนอกเมืองโจฮันเนสเบิร์ก. ฉันกับจอห์นแวะไปชมบริเวณก่อสร้างแห่งนี้บ่อย ๆ บรรยากาศสงบ ปลอดเสียงอึกทึกและมลภาวะของเมืองใหญ่. เราได้รับอนุญาตให้ย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่นชั่วคราวจนกว่าการก่อสร้างสาขาแห่งใหม่จะแล้วเสร็จ ซึ่งช่วยจอห์นได้มากทีเดียว.
เผชิญข้อท้าทายใหม่ ๆ
เนื่องจากศักยภาพของจอห์นในการคิดและการหาเหตุผลเริ่มเสื่อมลงเรื่อย ๆ การจะทำงานมอบหมายต่าง ๆ ให้ลุล่วงก็ยากขึ้น. ฉันซาบซึ้งจริง ๆ ที่หลายคนได้สนับสนุนความมุ่งมั่นพยายามของจอห์น. ยกตัวอย่าง เมื่อบราเดอร์คนหนึ่งไปที่ห้องสมุดประชาชนเพื่อการค้นคว้า เขาจะพาจอห์นไปด้วย. กระเป๋าของจอห์นมักจะอัดแน่นด้วยแผ่นพับและวารสารสำหรับแจกจ่ายในวันที่ออกไปข้างนอก. ทั้งนี้ทำให้จอห์นรู้สึกว่าตนบรรลุความสำเร็จและยังมีค่า.
ในที่สุด โรคอัลไซเมอร์ก็ทำให้จอห์นไม่สามารถเข้าใจลายลักษณ์อักษรใด ๆ ทั้งสิ้น. เรารู้สึกขอบคุณที่มีเทปบันทึกเรื่องต่าง ๆ จากสรรพหนังสืออธิบายคัมภีร์ไบเบิลและเพลงราชอาณาจักร. เราเปิดฟังเทปเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก. จอห์นมักจะมีอาการหงุดหงิดถ้าฉันไม่นั่งฟังด้วย ดังนั้น ฉันไม่ยอมอยู่ว่าง ๆ ในช่วงหลายชั่วโมงเหล่านั้น แต่หางานเย็บปักถักร้อยมาทำไปเรื่อย ๆ เราก็เลยมีเสื้อไหมพรมและผ้าห่มใช้เหลือเฟือ!
แล้วในที่สุด อาการป่วยของจอห์นทำให้ฉันต้องเฝ้าปรนนิบัติดูแลมากขึ้น. ถึงแม้บ่อยครั้งฉันรู้สึกเหนื่อยล้าเกินไปที่จะอ่านหรือศึกษา กระนั้น ฉันถือว่าเป็นสิทธิพิเศษที่ได้ดูแลเขาถึงที่สุด. วันสุดท้ายมาถึงในปี 1998 จอห์นในวัยเพิ่งผ่าน 85 ปีก็สิ้นใจอย่างสงบในอ้อมกอดของฉันอย่างคนซื่อสัตย์มั่นคงตลอดชีวิต. ฉันตั้งตาคอยพบเขาเมื่อจะมีการปลุกขึ้นจากตาย เวลานั้นสุขภาพและความคิดจิตใจของเขาจะคืนสู่สภาพดีดังเดิม!
ได้รับความสดชื่น
หลังจากจอห์นสิ้นชีวิตแล้ว ไม่ง่ายที่ฉันจะดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง. ดังนั้น ในเดือนพฤษภาคม 1999 ฉันได้ไปเยี่ยมเทลมาน้องสาวและสามีของเธอที่ประเทศสหรัฐ. เป็นที่น่าปลื้มปีติและได้รับความสดชื่นเสียนี่กระไรเมื่อพบปะเพื่อนรักที่ซื่อสัตย์หลายสิบคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่เราไปเยือนสำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวา ในนครนิวยอร์ก! มันเป็นการเติมพลังฝ่ายวิญญาณตามที่ฉันต้องการอยู่ทีเดียว.
การรำลึกถึงชีวิตของบรรดาผู้ที่ฉันรักซึ่งเป็นคนภักดี นั้นเตือนให้นึกถึงเรื่องราวมากมายแต่หนหลังซึ่งเป็นคุณประโยชน์สำหรับฉัน. การที่คนเหล่านั้นให้คำแนะนำ, เป็นตัวอย่าง, และให้การช่วยเหลือ ฉันจึงได้เรียนรู้ที่จะตีแผ่ความรักให้แก่ผู้คนต่างเชื้อชาติต่างเผ่าพันธุ์. ฉันได้เรียนรู้ความพากเพียร, ความอดทนอดกลั้น, การรู้จักปรับตัว. สำคัญที่สุด ตัวฉันเองได้ประสบพระกรุณาคุณของพระยะโฮวาผู้สดับคำอธิษฐาน. ฉันสะท้อนความรู้สึกของผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญที่เขียนไว้ว่า “ความสุขย่อมมีแก่คนนั้นที่พระองค์ทรงเลือกและให้เขาเข้ามาหาพระองค์ เพื่อเขาจะได้อาศัยอยู่ภายในลานของพระองค์. พวกข้าพเจ้าย่อมได้รับความพอใจด้วยความดีงามแห่งราชสำนักของพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 65:4, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 18 โปรดดูวารสารเดอะ ว็อชเทาเวอร์ ฉบับ 1 สิงหาคม 1959 (ภาษาอังกฤษ) หน้า 468-472.
[ภาพหน้า 8]
คุณยายกับลูกสาว
[ภาพหน้า 9]
กับคุณพ่อคุณแม่เมื่อฉันรับบัพติสมาในปี 1948
[ภาพหน้า 10]
กับอัลเบิร์ต ชโรเดอร์ นายทะเบียนแห่งโรงเรียนกิเลียด และนักเรียนอีกเก้าคนจากแอฟริกาใต้
[ภาพหน้า 10]
กับจอห์นในปี 1984