การหาทรัพย์ที่ยืนยงถาวร
เรื่องราวชีวิตจริง
การหาทรัพย์ที่ยืนยงถาวร
เล่าโดย โดโรเทีย สมิท กับ ดอรา วอร์ด
เรากำลังหาทรัพย์แบบไหนน่ะหรือ? ตอนนั้นเราสองคนเป็นหญิงสาวซึ่งปรารถนาอย่าง แรงกล้าที่จะมีส่วนร่วมในการทำให้คำสั่งของพระเยซูบรรลุผลสำเร็จ ดังที่ได้ตรัสว่า “จงออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศให้เป็นสาวก.” (มัดธาย 28:19) ขอให้เราอธิบายว่า การค้นหานี้ทำให้เรามั่งคั่งอย่างไม่รู้สิ้นสุดได้อย่างไร.
โดโรเทีย: ในปี 1915 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มขึ้นได้ไม่นาน ฉันก็เกิดมาเป็นลูกคนที่สามของครอบครัว. เราอาศัยอยู่ใกล้กับเมืองเฮาเวลล์ รัฐมิชิแกน ในสหรัฐ. พ่อของฉันไม่ใช่คนเคร่งศาสนา แต่แม่เป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้า. แม่พยายามสอนพวกเราให้ทำตามบัญญัติสิบประการ แต่ท่านก็ไม่สบายใจที่วิลลิส พี่ชายของฉันกับไวโอลา พี่สาว รวมทั้งตัวฉันไม่ได้เป็นสมาชิกของโบสถ์ไหนเลย.
เมื่อฉันอายุ 12 ปี แม่ตัดสินใจว่าฉันควรรับบัพติสมาเป็นสมาชิกของคริสตจักรเพรสไบทีเรียน. ฉันยังจำได้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่ฉันรับบัพติสมา. เด็กทารกสองคนซึ่งต่างก็มีแม่อุ้มมาได้รับบัพติสมาพร้อมกับฉัน. ฉันรู้สึกอับอายเหลือเกินที่ต้องรับบัพติสมาพร้อมกับเด็กทารก. นักเทศน์พรมน้ำสองสามหยดบนหัวของฉันแล้วพูดงึมงำเป็นคำที่ฉันไม่เข้าใจ. ที่จริงแล้ว ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการบัพติสมามากไปกว่าทารกสองคนนั้นเลย!
วันหนึ่งในปี 1932 รถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาที่ทางเข้าบ้านของเรา และแม่เป็นคนไปเปิดประตู. มีชายหนุ่มสองคนมาเสนอหนังสือเกี่ยวกับศาสนา. หนึ่งในสองคนนั้นแนะนำ
ตัวว่าชื่ออัลเบิร์ต ชโรเดอร์. เขาให้แม่ดูหนังสือบางเล่มที่จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา. แม่รับหนังสือไว้. หนังสือเหล่านั้นช่วยแม่ให้ตอบรับความจริงจากพระคำของพระเจ้า.การค้นหาทรัพย์เริ่มต้น
ในที่สุด ฉันก็ย้ายไปอยู่กับพี่สาวที่ดีทรอยต์. ที่นั่นฉันได้พบกับสตรีสูงอายุคนหนึ่งที่มาสอนคัมภีร์ไบเบิลให้กับพี่สาว. เมื่อได้พูดคุยกันหลายครั้ง ฉันก็นึกถึงรายการวิทยุที่เคยฟังกับแม่ทุกสัปดาห์ตอนอยู่ที่บ้าน. รายการนั้นมีคำบรรยายเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลนาน 15 นาที โดยเจ. เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด ซึ่งนำหน้ากลุ่มพยานพระยะโฮวาในเวลานั้น. ในปี 1937 เราเริ่มสมทบกับประชาคมแรกของพยานพระยะโฮวาในดีทรอยต์. ปีถัดมาฉันก็รับบัพติสมา.
ตอนต้นทศวรรษ 1940 มีการประกาศว่าพยานพระยะโฮวากำลังเปิดโรงเรียนชื่อว่ากิเลียด ในเซาท์แลนซิง รัฐนิวยอร์ก เพื่อฝึกอบรมผู้ที่จะเป็นมิชชันนารี. เมื่อฉันรู้ว่าผู้ที่จบโรงเรียนนี้บางคนจะได้รับเชิญให้ไปรับใช้ในต่างประเทศ ฉันคิดว่า ‘นี่แหละที่ฉันต้องการ!’ ฉันวางเป้าหมายที่จะไปกิเลียดไว้เป็นเป้าหมายในชีวิต. คงจะเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ถ้าได้ไปยังดินแดนอื่นเพื่อค้นหา “ทรัพย์” ซึ่งก็คือ ผู้คนที่ปรารถนาจะมาเป็นสาวกของพระคริสต์เยซู!—ฮาฆี 2:6, 7.
เข้าไปใกล้เป้าหมายทีละน้อย
ในเดือนเมษายน ปี 1942 ฉันลาออกจากงานแล้วเริ่มรับใช้เป็นไพโอเนียร์ หรือผู้เผยแพร่เต็มเวลาที่ฟินด์เลย์ รัฐโอไฮโอ พร้อมกับพี่น้องหญิงอีกห้าคน. ตอนนั้นยังไม่มีประชาคมที่จัดการประชุมเป็นประจำ แต่เราก็หนุนใจกันโดยการอ่านบทความจากสรรพหนังสือของคริสเตียนด้วยกันเป็นกลุ่ม. ในเดือนแรกที่เป็นไพโอเนียร์ ฉันจำหน่ายหนังสือ 95 เล่มให้กับคนที่สนใจ! ประมาณหนึ่งปีครึ่งหลังจากนั้น ฉันได้รับมอบหมายให้ไปรับใช้เป็นไพโอเนียร์พิเศษในแชมเบอร์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย. ฉันไปสมทบกับไพโอเนียร์หญิงอีกห้าคน ซึ่งรวมถึงดอรา วอร์ด พี่น้องหญิงจากไอโอวา. ดอรากับฉันได้เป็นไพโอเนียร์คู่กัน. เรารับบัพติสมาในปีเดียวกัน และเราต่างก็อยากจะไปโรงเรียนกิเลียดและรับใช้เป็นมิชชันนารีในต่างแดนเหมือนกัน.
ตอนต้นปี 1944 วันสำคัญก็มาถึง! เราทั้งคู่ได้รับเชิญให้เข้าเรียนในรุ่นที่สี่ของโรงเรียนกิเลียด. เราลงทะเบียนเข้าเรียนในเดือนสิงหาคมของปีนั้น. แต่ก่อนที่ฉันจะเล่าอะไรมากกว่านี้ ขอให้ดอราเล่าว่าเธอกลายเป็นเพื่อนไพโอเนียร์ที่ร่วมค้นหาทรัพย์กับฉันมาตลอดชีวิตได้อย่างไร.
กระตือรือร้นที่จะเริ่มงานรับใช้เต็มเวลา
ดอรา: คุณแม่ของฉันเฝ้าอธิษฐานเพื่อจะได้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระคำของพระเจ้า. วันอาทิตย์วันหนึ่ง ฉันอยู่กับแม่เมื่อเราได้ยินคำบรรยายของเจ. เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ดจากวิทยุ. เมื่อคำบรรยายจบลง คุณแม่ก็อุทานว่า “นี่แหละคือความจริง!” หลังจากนั้นไม่นาน เราก็ศึกษาหนังสือต่าง ๆ ของพยานพระยะโฮวา. ในปี 1935 เมื่อฉันอายุ 12 ปี ฉันได้ฟังคำบรรยายการรับบัพติสมาของพยานพระยะโฮวา และรู้สึกถึงความปรารถนาจากใจจริงที่จะอุทิศชีวิตของฉันแด่พระยะโฮวา. หลังจากนั้นสามปี ฉันก็รับบัพติสมา. การอุทิศตัวและรับบัพติสมาช่วยฉันให้ยืนหยัดและรักษาเป้าหมายของตัวเองไว้ได้ตลอดหลายปีที่ยังต้องไปโรงเรียน. ฉันอยากจะเรียนจบไว ๆ เพื่อจะได้เริ่มรับใช้เป็นไพโอเนียร์เสียที.
ในตอนนั้นกลุ่มพยานฯ ที่ฉันสมทบด้วยประชุมร่วมกันเป็นประชาคมในฟอร์ต ดอด์จ รัฐไอโอวา. ต้องมีความพยายามมากเพื่อจะเข้าร่วมการประชุมคริสเตียน. สมัยนั้นบทความศึกษาในหอสังเกตการณ์ยังไม่มีคำถามสำหรับพิจารณากันในประชาคม. มีการขอให้ผู้ประกาศแต่ละคนเตรียมคำถามมาและมอบให้กับพี่น้องชายที่นำการศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์. ทุกคืนวันจันทร์ แม่กับฉันจะเตรียมคำถามสำหรับแต่ละวรรค แล้วเอาคำถามเหล่านี้ไปให้กับผู้นำเพื่อเขาจะเลือกว่าจะใช้คำถามไหนบ้าง.
บางครั้งบางคราวก็มีผู้ดูแลเดินทางมาเยี่ยมประชาคมของเรา. ผู้ดูแลเดินทางคนหนึ่งคือ จอห์น บูท ได้ช่วยฉันให้เริ่มออกประกาศเมื่อฉันอายุ 12 ปี. เมื่ออายุ 17 ปี ฉันถามเขาว่าจะกรอกใบสมัครไพโอเนียร์อย่างไร เขาก็ช่วยฉัน. ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากนั้นเราจะได้พบกันอีกและกลายเป็นเพื่อนกันตลอดชีวิต!
เมื่อเป็นไพโอเนียร์ ฉันมักจะทำงานกับซิสเตอร์โดโรที อารอนสัน ซึ่งเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลาที่แก่กว่าฉัน 15 ปี. เราเป็นไพโอเนียร์คู่กันจนกระทั่งเธอได้รับเชิญให้เข้าอบรมในรุ่นแรกของโรงเรียนกิเลียดเมื่อปี 1943. หลังจากนั้น ฉันก็รับใช้เป็นไพโอเนียร์ต่อตามลำพัง.
การต่อต้านไม่อาจหยุดเราได้
ช่วงทศวรรษ 1940 เป็นช่วงที่เราเจอปัญหายุ่งยากหลายอย่างเนื่องจากบรรยากาศของความรักชาติที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กระตุ้นให้เกิดขึ้น. เมื่อเราประกาศตามบ้าน เราจะถูกปาด้วยไข่เน่าและมะเขือเทศสุกอยู่บ่อย ๆ และบางครั้งก็ถึงกับเจอก้อนหินด้วยซ้ำ! เราเจอการทดลองที่หนักกว่านั้นเมื่อเราเสนอวารสารหอสังเกตการณ์และคอนโซเลชัน (ปัจจุบันคือตื่นเถิด!) ตามหัวมุมถนน. เจ้าหน้าที่ตำรวจที่
ถูกยุยงจากพวกผู้ต่อต้านทางศาสนาเข้ามาหาเราพร้อมกับขู่ว่าจะจับเราถ้าเจอเราประกาศในที่สาธารณะอีก.แน่ทีเดียว เราไม่เลิกประกาศ เราจึงถูกจับไปสอบสวนที่สถานีตำรวจ. หลังจากถูกปล่อยตัวแล้ว เราก็กลับไปที่มุมถนนเดิมและเสนอวารสารฉบับเดิมอีก. พี่น้องชายที่คอยดูแลเราแนะนำให้เราใช้ยะซายา 61:1, 2 เพื่อปกป้องจุดยืนของเรา. ครั้งหนึ่งมีตำรวจหนุ่มเดินเข้ามาหาฉัน ฉันยกข้อคัมภีร์นั้นมาบอกเขาทั้ง ๆ ที่รู้สึกประหม่า. น่าประหลาดที่เขาหันกลับแล้วเดินไปทันที! ดูเหมือนว่า ทูตสวรรค์ปกป้องเราไว้.
วันที่ยากจะลืมเลือน
ในปี 1941 ฉันยินดีที่ได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่ของพยานพระยะโฮวาที่จัดขึ้นนานห้าวันที่เซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี. ในระหว่างการประชุมนั้นบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดได้ขอให้เด็กทุกคนที่อายุระหว่าง 5 ถึง 18 ปีมารวมกันอยู่ตรงกลางสนามกีฬา. เด็ก ๆ นับหมื่นคนมานั่งรวมกัน. บราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดทักทายเราด้วยการโบกผ้าเช็ดหน้าของท่าน. เราทุกคนโบกมือตอบ. หลังจากบรรยายนานหนึ่งชั่วโมงแล้วท่านก็พูดว่า “เด็ก ๆ ซึ่งยินยอมที่จะทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าและสนับสนุนรัฐบาลตามระบอบการของพระองค์ที่พระคริสต์เยซูเป็นผู้ปกครองและได้ยินยอมที่จะเชื่อฟังพระเจ้าและกษัตริย์ของพระองค์ โปรดยืนขึ้น.” เด็ก ๆ 15,000 คนยืนขึ้นพร้อมกัน—ฉันก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้น! ผู้บรรยายพูดต่ออีกว่า “พวกเธอทุกคนที่จะทำทุกสิ่งที่เธอทำได้เพื่อบอกคนอื่นถึงราชอาณาจักรของพระเจ้าและพระพรที่จะมาพร้อมกับราชอาณาจักรนั้นให้พูดว่า ใช่.” เราทำอย่างนั้น แล้วก็มีเสียงปรบมือดังกึกก้องตามมา.
หลังจากนั้นมีการออกหนังสือเด็กทั้งหลาย (ภาษาอังกฤษ) * และเหล่าเยาวชนก็เดินเรียงเป็นแถวยาวขึ้นไปบนเวทีเพื่อรับหนังสือใหม่นี้จากบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ด. เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นจริง ๆ! ทุกวันนี้ หลายคนที่ได้รับหนังสือในวันนั้นยังคงรับใช้พระยะโฮวาอย่างกระตือรือร้นอยู่ทั่วโลก โดยพูดถึงราชอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์.—บทเพลงสรรเสริญ 148:12, 13.
หลังจากเป็นไพโอเนียร์อยู่นานสามปี ฉันดีใจจริง ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้ไปเป็นไพโอเนียร์พิเศษที่แชมเบอร์สเบิร์ก! ฉันได้พบกับโดโรเทียที่นั่น และไม่นานเราก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก. เราเต็มเปี่ยมด้วยความกระตือรือร้นในวัยหนุ่มสาวและมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ. เรากระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมมากขึ้นในงานประกาศ. แล้วเราสองคนก็เริ่มการค้นหาทรัพย์ซึ่งดำเนินเรื่อยมาตลอดชีวิตของเรา.—บทเพลงสรรเสริญ 110:3.
ไม่กี่เดือนหลังจากเริ่มรับใช้เป็นไพโอเนียร์พิเศษ เราพบกับอัลเบิร์ต แมนน์ ที่จบจากโรงเรียนกิเลียดรุ่นที่หนึ่ง. เขากำลังจะเดินทางไปเป็นมิชชันนารีในต่างประเทศ. เขาสนับสนุนเราให้ตอบรับงานมอบหมายในต่างแดนที่ใดก็ตามที่เราอาจได้รับ.
เข้าโรงเรียนพร้อมกัน
ดอรากับโดโรเทีย: คิดดูซิว่าเรามีความยินดีมากแค่ไหนเมื่อเริ่มรับการฝึกอบรมสำหรับงานมิชชันนารี! ในวันแรกของการเรียน อัลเบิร์ต ชโรเดอร์ พี่น้องชายที่เคยเสนอหนังสือการศึกษาพระคัมภีร์ ให้กับแม่ของโดโรเทียเมื่อ 12 ปีก่อน เป็นคนรับเราเข้าเรียน. จอห์น บูทก็อยู่ที่นั่นด้วย. ขณะนั้นเขาเป็นผู้ดูแลฟาร์มราชอาณาจักร ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนกิเลียด. ต่อมา พี่น้องทั้งสองคนรับใช้เป็นสมาชิกคณะกรรมการปกครองแห่งพยานพระยะโฮวา.
ที่โรงเรียนกิเลียด เราได้ศึกษาความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจากคัมภีร์ไบเบิล. นับเป็นการฝึกอบรมที่ดีเยี่ยมจริง ๆ. ในชั้นเรียนของเรามีนักเรียน 104 คน ซึ่งรวมถึงนักเรียนต่างชาติคนแรกที่มาจากเม็กซิโกด้วย. เขากำลังพยายามปรับปรุงภาษาอังกฤษของเขา ส่วนเราก็พยายามจะเรียนภาษาสเปน. พวกเรารู้สึกตื่นเต้นยินดีจริง ๆ ในวันที่บราเดอร์นาทาน เอช. นอรร์ แจกงานมอบหมายในต่างแดนให้กับพวกเราที่เป็นนักเรียน! นักเรียนส่วนใหญ่ได้รับมอบหมายให้ไปยังอเมริกากลางและใต้ เราได้รับมอบหมายให้ไปชิลี.
การค้นหาทรัพย์ในชิลี
เราจำเป็นต้องขอวีซ่าเพื่อจะเข้าประเทศชิลี ซึ่งก็ใช้เวลานานพอดู. ดังนั้น หลังจากเสร็จสิ้นการอบรมในเดือนมกราคม 1945 เราจึงไปเป็นไพโอเนียร์ที่วอชิงตัน ดี.ซี. อยู่หนึ่งปีครึ่ง. เมื่อได้รับวีซ่าแล้ว พวกเรากลุ่มมิชชันนารีเก้าคนก็เดินทางไปยังประเทศชิลี. เจ็ดคนในจำนวนนั้นเป็นนักเรียนจากรุ่นก่อน ๆ.
เมื่อไปถึงซานติอาโก ซึ่งเป็นเมืองหลวง ก็มีพี่น้องคริสเตียนหลายคนมาพบเรา. คนหนึ่งในนั้นคืออัลเบิร์ต แมนน์ อดีตนักเรียนกิเลียดที่เคยพูดให้กำลังใจเราเมื่อไม่กี่ปีก่อน. เขามาอยู่ชิลีได้หนึ่งปีแล้ว มาพร้อมกับโจเซฟ เฟอร์รารี จากรุ่นที่สองของโรงเรียนกิเลียด. ตอนที่เรามาถึง ทั้งประเทศชิลีมีผู้ประกาศไม่ถึง 100 คน. เรากระตือรือร้นอยากจะค้นหาและพบทรัพย์—คนที่มีหัวใจสุจริต—มากขึ้นในเขตงานใหม่ของเรา.
เราได้รับมอบหมายให้อยู่ในบ้านพักมิชชันนารีในซานติอาโก. การได้อยู่ร่วมกับมิชชันนารีครอบครัวใหญ่เป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับเรา. นอกจากจะต้องทำงานประกาศให้ครบจำนวนชั่วโมงตามที่กำหนดแล้ว มิชชันนารีทุกคนยังได้รับมอบหมายให้ทำอาหารสำหรับครอบครัวสัปดาห์ละครั้งด้วย. เรามีเรื่องน่าขายหน้าด้วยเหมือนกัน. ครั้งหนึ่ง เราทำบิสกิตร้อน ๆ ให้ครอบครัวรับประทานเป็นอาหารเช้า แต่เมื่อเราเอาขนมออกจากเตา เราก็ได้กลิ่นเหม็นมาก. ปรากฏว่าเราใส่เบกกิงโซดาแทนที่จะเป็นผงฟู! มีคนเอาเบกกิงโซดามาใส่ในกระป๋องผงฟู.
แต่สิ่งที่น่าขายหน้ายิ่งกว่านั้น คือข้อผิดพลาดของเราตอนที่ยังเรียนภาษาสเปนอยู่. ครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่งที่เราศึกษาด้วยเกือบจะเลิกศึกษาเพราะพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูด. แต่อาศัยว่าพวกเขาเปิดดูข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ในไบเบิลของตัวเอง พวกเขาจึงเรียนความจริงต่อไปได้ แล้วพวกเขาห้าคนก็เข้ามาเป็นพยานฯ. ในสมัยนั้น ไม่มีการจัดชั้นเรียนเพื่อสอนภาษาให้กับมิชชันนารีใหม่. เราเริ่มงานประกาศทันทีและพยายามเรียนภาษาใหม่จากคนที่เราประกาศด้วย.
เรานำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลหลายราย และนักศึกษาของเราบางคนก็ตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่กับบางคนเราก็ต้องอดทนมาก. หญิงสาวคนหนึ่งชื่อเทเรซา เตโย รับฟังข่าวสารแห่งความจริงแล้วกล่าวว่า “กรุณากลับมาอธิบายให้ดิฉันฟังอีกนะคะ.” เรากลับไปเยี่ยม 12 ครั้ง แต่ไม่เคยพบเธอเลย. เวลาผ่านไปสามปี. เราไปร่วมการประชุมใหญ่ซึ่งจัดขึ้นที่โรงละครแห่งหนึ่งในซานติอาโก. เมื่อเราออกจากที่ประชุมในวันอาทิตย์ ก็มีคนเรียก “ซินยอริตาดอรา ซินยอริตาดอรา!” เมื่อเราหันกลับไปก็เห็นเทเรซา. เธอมาเยี่ยมพี่สาวซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน แล้วจึงมาดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่โรงละคร. เรารู้สึกดีใจมากที่ได้พบเธออีกครั้งหนึ่ง! เรานัดกันเพื่อศึกษาคัมภีร์ไบเบิล และไม่นานหลังจากนั้นเธอก็รับบัพติสมา. ต่อมา เธอรับใช้เป็นไพโอเนียร์พิเศษ. บัดนี้ ผ่านมา 45 ปีแล้ว เทเรซาก็ยังอยู่ในงานรับใช้เต็มเวลาประเภทพิเศษ.—ท่านผู้ประกาศ 11:1.
พบทรัพย์ที่อยู่ใน “ทราย”
ในปี 1959 เราได้รับมอบหมายให้ไปรับใช้ที่ปุนตาอาเรนัส แปลว่า “แหลมทราย” ซึ่งอยู่ตอนใต้สุดของชายฝั่งชิลีที่ยาว 4,300 กิโลเมตร. ปุนตาอาเรนัสเป็นเขตที่มีลักษณะพิเศษ. ในฤดูร้อน ช่วงกลางวันจะยาว มีแสงแดดจนถึงห้าทุ่มครึ่ง. เราสามารถออกไปทำงานประกาศได้หลายวัน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรคใด ๆ เพราะในฤดูร้อนมีลมพัดแรงจากแอนตาร์กติก. ในฤดูหนาวอากาศหนาวเย็น และช่วงกลางวันก็สั้น.
แม้จะมีอุปสรรคเหล่านี้ แต่ปุนตาอาเรนัสก็ยังมีมนต์เสน่ห์. ในหน้าร้อน เมฆฝนทะมึนชุดแล้วชุดเล่าจะเคลื่อนตัวเป็นแพข้ามท้องฟ้าฝั่งตะวันตก. บางครั้งมีฝนตกลงมาซู่ใหญ่ แต่หลังจากนั้นลมก็พัดมาทำให้ตัวแห้ง. ตามมาด้วยรุ้งสีสวยเมื่อแสงอาทิตย์ส่องลอดกลุ่มเมฆลงมา. บางครั้งรุ้งกินน้ำเหล่านี้จะอยู่นานเป็นชั่วโมง ๆ ก่อนจะเลือนหายไป แล้วประเดี๋ยวก็จะกลับมาอีกเมื่อดวงอาทิตย์ส่องลอดเมฆฝนลงมา.—โยบ 37:14.
ในตอนนั้น มีผู้ประกาศอยู่ไม่กี่คนในปุนตาอาเรนัส. พวกเราที่เป็นพี่น้องหญิงต้องนำการประชุมในประชาคมท้องถิ่นเล็ก ๆ. พระยะโฮวาทรงอวยพรความพยายามของเรา. สามสิบเจ็ดปีหลังจากนั้นเราได้กลับไปเยี่ยมเขตนั้นอีก. เราพบอะไร? มีหกประชาคมที่กำลังก้าวหน้าและหอประชุมที่สวยงามสามแห่ง. ช่างน่ายินดีจริง ๆ ที่พระยะโฮวาทรงอนุญาตให้เราได้พบทรัพย์ฝ่ายวิญญาณมากมายในทรายทางตอนใต้!—ซะคาระยา 4:10.
ยังมีทรัพย์อีกที่ “หาดกว้าง”
หลังจากรับใช้ที่ปุนตาอาเรนัสอยู่สามปีครึ่ง เราได้รับมอบหมายให้ไปรับใช้ในเมืองท่าชื่อ วัลปาราอีโซ. เมืองนี้มีเนินเขา 41 ลูกอยู่ล้อมรอบอ่าวซึ่งมองออกไปเห็นมหาสมุทรแปซิฟิก. ส่วนใหญ่แล้วเราทำงานประกาศอยู่บนเนินเขาลูกหนึ่งชื่อ พลายา อันชา ซึ่งแปลว่า “หาดกว้าง.” ในช่วง 16 ปีที่เราอยู่ที่นั่น เราได้เห็นคริสเตียนหนุ่มกลุ่มหนึ่งเติบโตขึ้นทางฝ่ายวิญญาณจนเดี๋ยวนี้พวกเขารับใช้เป็นผู้ดูแลเดินทางและผู้ปกครองในประชาคมต่าง ๆ ทั่วชิลี.
งานมอบหมายถัดมาที่เราได้รับฐานะมิชชันนารีคือที่ วินา เดล มาร์. เรารับใช้อยู่ที่นั่นสามปีครึ่งจนกระทั่งเกิดแผ่นดินไหวทำให้บ้านพักมิชชันนารีเสียหาย. เรากลับไปอยู่ซานติอาโก ที่ที่เราเริ่มงานมิชชันนารีเป็นครั้งแรกเมื่อ 40 ปีก่อน. สิ่งต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปจากเดิม. มีการสร้างอาคารสำนักงานสาขาแห่งใหม่ และที่เดิมกลายเป็นบ้านพักสำหรับมิชชันนารีทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่ในประเทศ. ต่อมา บ้านพักหลังนั้นก็ถูกใช้เป็นโรงเรียนฝึกอบรมเพื่องานรับใช้. เวลานั้น เราได้เห็นความกรุณารักใคร่ของพระยะโฮวาที่มีต่อเราอีกครั้งหนึ่ง. พวกเราห้าคนซึ่งเป็นมิชชันนารีที่อายุมากแล้วได้รับเชิญให้ย้ายไปอยู่เบเธล. ระหว่างที่เรารับใช้อยู่ในชิลี เราได้รับงานมอบหมายในที่ต่าง ๆ 15 แห่ง. เราได้เห็นงานของเราเติบโต จากที่มีผู้ประกาศไม่ถึง 100 คน มาเป็นประมาณ 70,000 คนแล้ว! เรามีความยินดีจริง ๆ ที่ได้มาค้นหาทรัพย์ในชิลี 57 ปีแล้ว!
เรารู้สึกว่าเป็นพระพรอย่างเหลือล้นที่พระยะโฮวาทรงโปรดให้เราได้พบทรัพย์ ซึ่งก็คือคนมากมายที่ยังคงรับใช้พระยะโฮวาอยู่ในองค์การของพระองค์. ตลอดเวลา 60 กว่าปีที่เราได้รับใช้พระยะโฮวาร่วมกัน เราเห็นด้วยอย่างสุดหัวใจกับความรู้สึกที่กษัตริย์ดาวิดแสดงออก เมื่อท่านเขียนว่า “พระกรุณาคุณของพระองค์มากยิ่งเท่าใด, ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับเหล่าคนที่เกรงกลัวพระองค์!”—บทเพลงสรรเสริญ 31:19.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 24 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา แต่ปัจจุบันเลิกพิมพ์แล้ว.
[ภาพหน้า 9]
โดโรเทีย ในปี 2002 และเมื่อทำงานประกาศในปี 1943
[ภาพหน้า 10]
ประกาศตามถนนในฟอร์ต ดอด์จ รัฐไอโอวา ปี 1942
[ภาพหน้า 10]
ดอรา ปี 2002
[ภาพหน้า 12]
โดโรเทียและดอราที่หน้าบ้านพักมิชชันนารีหลังแรกในชิลี ปี 1946