เยาวชนทั้งหลาย—คุณจะใช้ชีวิตของคุณอย่างไร?
เยาวชนทั้งหลาย—คุณจะใช้ชีวิตของคุณอย่างไร?
“ที่ข้าพเจ้าวิ่ง ข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งโดยไร้จุดหมาย ที่ข้าพเจ้าชก ข้าพเจ้าไม่ได้ชกลม.”—1 โค. 9:26
1, 2. เพื่อคุณจะประสบความสำเร็จขณะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คุณจำเป็นต้องมีอะไร?
ถ้าคุณกำลังจะเดินทางไปบนเส้นทางที่คุณไม่คุ้นเคย คุณคงต้องการจะนำแผนที่และเข็มทิศไปด้วย. แผนที่จะช่วยคุณให้ระบุตำแหน่งที่คุณอยู่และช่วยวางแผนเส้นทางที่จะไป. เข็มทิศจะช่วยคุณให้รู้ทิศทาง. อย่างไรก็ตาม ทั้งแผนที่และเข็มทิศแทบจะไม่เป็นประโยชน์เลยถ้าคุณไม่รู้ว่าจะมุ่งหน้าไปไหน. เพื่อจะไม่เร่ร่อนไปโดยไร้จุดหมาย คุณต้องกำหนดจุดหมายปลายทางที่แน่นอนไว้.
2 คุณเผชิญสถานการณ์คล้าย ๆ กันเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่. คุณมีทั้งแผนที่และเข็มทิศที่ไว้ใจได้. คัมภีร์ไบเบิลเป็นแผนที่ที่สามารถช่วยคุณให้รู้เส้นทางที่ควรเลือก. (สุภา. 3:5, 6) ถ้าสติรู้สึกผิดชอบได้รับการฝึกอย่างถูกต้องก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการช่วยคุณให้อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง. (โรม 2:15) สติรู้สึกผิดชอบสามารถทำหน้าที่เหมือนเข็มทิศ. แต่เพื่อคุณจะประสบความสำเร็จในชีวิต คุณต้องรู้ด้วยว่าจะมุ่งหน้าไปทางไหน. คุณต้องมีเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน.
3. เปาโลกล่าวถึงประโยชน์ของการมีเป้าหมายไว้อย่างไรที่ 1 โครินท์ 9:26?
3 อัครสาวกเปาโลสรุปผลประโยชน์ของการตั้งเป้าหมายและการพยายามบรรลุเป้าหมายเมื่อท่านเขียนว่า “ที่ข้าพเจ้าวิ่ง ข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งโดยไร้จุดหมาย ที่ข้าพเจ้าชก ข้าพเจ้าไม่ได้ชกลม.” (1 โค. 9:26) ถ้าคุณมีเป้าหมาย คุณก็จะวิ่งอย่างมีจุดหมาย. ไม่ช้าคุณก็จะต้องตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับการนมัสการ, การทำงานอาชีพ, การสมรส, และครอบครัว ฯ ลฯ. บางครั้งคุณอาจพบว่ามีทางเลือกหลายทางจนทำให้สับสน. แต่ถ้าคุณวางแผนเส้นทางชีวิตไว้ล่วงหน้า โดยใช้ความจริงและหลักการจากพระคำของพระเจ้าในการตัดสินใจของคุณ คุณก็จะไม่ถูกล่อใจให้มุ่งไปผิดทาง.—2 ติโม. 4:4, 5
4, 5. (ก) อาจเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณไม่ตั้งเป้าหมายด้วยตัวคุณเอง? (ข) เหตุใดคุณควรให้ความปรารถนาจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าชี้นำการเลือกของคุณ?
4 ถ้าคุณเองไม่ตั้งเป้าหมาย เพื่อน ๆ และครูก็คงจะกดดันคุณให้ทำสิ่งที่พวกเขาคิดว่าถูกต้องสำหรับคุณ. แต่ถึงคุณจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่แล้ว บางคนก็อาจยังเสนอความคิดเห็นของพวกเขา. เมื่อฟังข้อเสนอแนะของพวกเขา จงถามตัวเองว่า ‘เป้าหมายที่พวกเขาพูดถึงจะช่วยฉันให้ระลึกถึงพระผู้สร้างในขณะที่ฉันยังหนุ่มแน่นหรือว่าพวกเขาจะทำให้ฉันเขวไปจากการทำเช่นนั้น?’—อ่านท่านผู้ประกาศ 12:1
5 เหตุใดคุณควรให้ความปรารถนาจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าชี้นำการเลือกของคุณ? เหตุผลหนึ่งก็คือพระยะโฮวาประทานสิ่งดีทุกอย่างให้เรา. (ยโก. 1:17) ที่จริง ทุกคนควรขอบคุณพระยะโฮวา. (วิ. 4:11) มีทางใดอีกหรือที่คุณจะแสดงความขอบคุณได้ดีไปกว่าการคำนึงถึงพระยะโฮวาเสมอเมื่อตั้งเป้าหมาย? ขอให้เราพิจารณาว่ามีเป้าหมายอะไรบ้างที่คุ้มค่าแก่การติดตามและคุณต้องทำอะไรเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น.
คุณอาจตั้งเป้าหมายอะไรได้บ้าง?
6. เป้าหมายพื้นฐานอะไรที่คุณอาจตั้งได้ และเพราะเหตุใด?
6 ดังที่กล่าวไปแล้วในบทความก่อน เป้าหมายพื้นฐานที่คุณอาจตั้งได้คือการพิสูจน์ยืนยันกับตัวคุณเองว่าสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอนเป็นความจริง. (โรม 12:2; 2 โค. 13:5) เพื่อนของคุณอาจเชื่อเรื่องวิวัฒนาการหรือคำสอนเท็จต่าง ๆ ทางศาสนาเพราะมีคนบอกพวกเขาว่านั่นคือสิ่งที่ควรเชื่อ. แต่คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อบางเรื่องเพียงเพราะคนอื่นอยากให้เชื่อ. อย่าลืมว่าพระยะโฮวาทรงประสงค์ให้คุณรับใช้พระองค์สุดหัวใจ. (อ่านมัดธาย 22:36, 37) พระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์ประสงค์ให้คุณสร้างความเชื่อโดยอาศัยความจริงในคัมภีร์ไบเบิล.—ฮีบรู 11:1
7, 8. (ก) การตั้งเป้าหมายระยะสั้นอะไรจะช่วยคุณให้มีความเชื่อที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น? (ข) ผลจะเป็นเช่นไรเมื่อบรรลุเป้าหมายระยะสั้น?
7 เพื่อเสริมความเชื่อของคุณให้เข้มแข็ง คุณน่าจะตั้งเป้าหมายระยะสั้นบางอย่าง. เป้าหมายอย่างหนึ่งที่อาจวางไว้คือการอธิษฐานทุกวัน. เพื่อช่วยให้คำอธิษฐานของคุณเป็นแบบที่เฉพาะเจาะจงหรือไม่ซ้ำซาก คุณอาจคิดหรือเขียนเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นที่คุณต้องการพูดถึงในคำอธิษฐานของคุณ. อย่าพูดถึงเฉพาะปัญหาเท่านั้นแต่ให้พูดถึงเรื่องดี ๆ ที่คุณได้รับด้วย. (ฟิลิป. 4:6) เป้าหมายอีกอย่างหนึ่งคือการอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน. คุณรู้ไหมว่าถ้าคุณอ่านพระคัมภีร์ประมาณวันละสี่หน้าคุณก็จะอ่านจบทั้งเล่มภายในเวลาหนึ่งปี. * บทเพลงสรรเสริญ 1:1, 2 กล่าวว่า ‘ความสุขย่อมมีแก่ผู้ที่ยินดีในพระบัญญัติของพระยะโฮวา; และเขาคิดรำพึงอยู่ในพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน.’
8 เป้าหมายที่สามซึ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้นที่คุณอาจตั้งได้คือการเตรียมคำตอบสำหรับการประชุมประชาคมแต่ละครั้ง. ตอนแรก คุณอาจจะอ่านคำตอบหรืออ่านข้อพระคัมภีร์. ต่อมา คุณอาจตั้งเป้าหมายจะตอบโดยใช้คำพูดฮีบรู 13:15) เมื่อคุณบรรลุเป้าหมายเหล่านี้บางอย่าง คุณก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น, คุณจะยิ่งขอบคุณพระยะโฮวามากขึ้น, และพร้อมจะตั้งเป้าหมายระยะยาวต่อไป.
ของคุณเอง. ที่จริง แต่ละครั้งที่คุณตอบ คุณก็กำลังถวายคำสรรเสริญแด่พระยะโฮวา. (9. ถ้าคุณยังไม่เป็นผู้ประกาศราชอาณาจักร คุณอาจตั้งเป้าหมายระยะยาวอะไรสำหรับตัวคุณเอง?
9 คุณอาจตั้งเป้าหมายระยะยาวอะไรสำหรับตัวคุณเอง? ถ้าคุณยังไม่ได้เริ่มประกาศข่าวดีตามบ้าน เป้าหมายระยะยาวของคุณก็อาจได้แก่การเป็นผู้ประกาศราชอาณาจักร. ถ้าคุณบรรลุเป้าหมายที่มีเกียรตินี้แล้ว คุณน่าจะพยายามประกาศอย่างมีประสิทธิภาพและสม่ำเสมอ ไม่ขาดแม้แต่เดือนเดียว. นอกจากนั้น คุณอาจต้องการเรียนรู้วิธีใช้คัมภีร์ไบเบิลในงานประกาศด้วย. ขณะที่ทำอย่างนั้น คุณก็อาจพบว่าตัวคุณเองชื่นชมยินดีกับการประกาศมากขึ้น. จากนั้น คุณอาจจะใช้เวลาในการประกาศตามบ้านมากขึ้นหรือแม้แต่พยายามนำการศึกษาพระคัมภีร์. ในฐานะผู้ประกาศที่ยังไม่รับบัพติสมา ยังจะมีเป้าหมายอะไรอีกหรือที่ดีไปกว่าการบรรลุคุณสมบัติเพื่อรับบัพติสมาและเป็นพยานที่ได้อุทิศตัวและรับบัพติสมาแล้วของพระยะโฮวาพระเจ้า?
10, 11. เยาวชนที่รับบัพติสมาแล้วอาจตั้งเป้าหมายระยะยาวอะไรได้บ้าง?
10 ถ้าคุณเป็นผู้รับใช้พระยะโฮวาที่รับบัพติสมาแล้ว ต่อไปนี้คือเป้าหมายระยะยาวบางอย่างที่คุณอาจพยายามบรรลุ. บางครั้งบางคราว คุณอาจจะช่วยประชาคมประกาศในเขตที่ไม่ค่อยได้ประกาศ. นอกจากนั้น คุณอาจเลือกใช้กำลังวังชาและร่างกายที่แข็งแรงของคุณเพื่อเป็นไพโอเนียร์สมทบหรือไพโอเนียร์ประจำ. ไพโอเนียร์ที่มีความสุขหลายหมื่นคนจะบอกคุณได้ว่าการรับใช้เต็มเวลาเป็นแนวทางที่คุ้มค่าที่จะระลึกถึงพระผู้สร้างในปฐมวัยของคุณ. คุณอาจบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้ขณะยังอยู่กับพ่อแม่. พี่น้องในประชาคมของคุณก็จะได้รับประโยชน์ด้วยจากการที่คุณบรรลุเป้าหมายเหล่านี้.
11 เป้าหมายระยะยาวอย่างอื่นอาจทำให้คุณต้องจากประชาคมของคุณไป. ตัวอย่างเช่น คุณอาจวางแผนไปรับใช้ในเขตอื่นหรือประเทศอื่นที่มีความจำเป็นมากกว่า. คุณอาจอยากช่วยสร้างหอประชุมราชอาณาจักรหรืออาคารสำนักงานสาขาในต่างประเทศ. คุณอาจรับใช้ที่เบเธลหรือเป็นมิชชันนารีได้ด้วยซ้ำ. แน่นอน เป้าหมายแรกที่สำคัญที่คุณต้องบรรลุก่อนจะทำตามเป้าหมายระยะยาวส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงดังข้างต้นได้ก็คือการรับบัพติสมา. ถ้าคุณยังไม่ได้รับบัพติสมา ขอให้พิจารณาสิ่งที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยในการบรรลุเป้าหมายสำคัญนี้ในชีวิตคุณ.
การบรรลุเป้าหมายที่จะรับบัพติสมา
12. บางคนรับบัพติสมาด้วยเหตุผลใด และทำไมเหตุผลเหล่านั้นยังไม่พอ?
12 คุณจะอธิบายจุดประสงค์ของการรับบัพติสมาอย่างไร? บางคนอาจคิดว่าการรับบัพติสมาช่วยป้องกันพวกเขาไว้จากการพ่ายแพ้แก่บาป. ส่วนคนอื่นก็อาจคิดว่าเขาควรรับบัพติสมาเพราะเพื่อน ๆ จุ่มตัวกันแล้ว. เยาวชนคนอื่น ๆ อาจต้องการทำให้พ่อแม่พอใจ. อย่างไรก็ตาม การรับบัพติสมาจะไม่ช่วยยับยั้งคุณไว้จากการทำผิดที่คุณอยากทำ; อีกทั้งคุณไม่ควรรับบัพติสมาเพราะถูกคนอื่นกดดัน. คุณควรรับบัพติสมาเมื่อคุณเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่าการเป็นพยานพระยะโฮวาเกี่ยวข้องกับอะไรและเมื่อคุณแน่ใจแล้วว่าคุณพร้อมและเต็มใจรับเอาหน้าที่รับผิดชอบนี้.—ผู้ป. 5:4, 5
13. เหตุใดคุณควรรับบัพติสมา?
13 เหตุผลหนึ่งที่ต้องรับบัพติสมาก็เพราะพระเยซูทรงบัญชาเหล่าสาวกของพระองค์ให้ “สอนคน . . . ให้เป็นสาวก . . . ให้พวกเขารับบัพติสมา.” พระองค์ยังทรงวางตัวอย่างไว้ด้วยโดยการรับบัพติสมา. (อ่านมัดธาย 28:19, 20; มาระโก 1:9) นอกจากนั้น การรับบัพติสมาเป็นก้าวสำคัญสำหรับคนที่ต้องการได้รับความรอด. หลังจากกล่าวถึงการที่โนอาห์สร้างเรือเพื่อช่วยท่านและครอบครัวให้รอดพ้นผ่านมหาอุทกภัยแล้ว อัครสาวกเปโตรกล่าวว่า “สิ่งที่ตรงกับเรื่องนี้ก็ทำให้ท่านทั้งหลายรอดในตอนนี้ด้วย นั่นคือการรับบัพติสมา . . . โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์.” (1 เป. 3:20, 21) แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าการรับบัพติสมาเป็นเหมือนกรมธรรม์ประกันภัยที่คุณซื้อไว้เพื่อคุ้มครองในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น คุณรับบัพติสมาเพราะคุณรักพระยะโฮวาและต้องการรับใช้พระองค์อย่างสุดหัวใจ, สุดชีวิต, สุดความคิด, และสุดกำลัง.—มโก. 12:29, 30
14. เหตุใดบางคนจึงลังเลที่จะรับบัพติสมา แต่คุณมั่นใจได้ในเรื่องใด?
14 บางคนอาจลังเลที่จะรับบัพติสมาเพราะกลัวว่าเขาอาจถูกตัดสัมพันธ์ในภายหลัง. คุณกลัวอย่างนี้ไหม? จริง ๆ แล้วความกลัวอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเสมอไป. การที่คุณกลัวอย่างนั้นอาจหมายความว่าคุณเข้าใจว่าคนที่จะเป็นพยานพระยะโฮวาต้องรับเอาหน้าที่รับผิดชอบอย่างจริงจัง. อาจมีเหตุผลอื่นด้วยไหม? คุณอาจยังไม่มั่นใจว่าการดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้าเป็นแนวทางชีวิตที่ดีที่สุด. ถ้าอย่างนั้น การคิดถึงผลที่เกิดขึ้นกับคนที่ละเลยมาตรฐานในคัมภีร์ไบเบิลอาจช่วยคุณให้ตัดสินใจได้. หรือคุณอาจรักมาตรฐานของพระเจ้าแต่ไม่เชื่อใจตัวเองว่าจะดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ได้. จริง ๆ แล้ว นั่นอาจเป็นสัญญาณที่ดี เพราะแสดงว่าคุณมีความถ่อมใจ. ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าหัวใจของมนุษย์ไม่สมบูรณ์ล้วนแต่ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น. (ยิระ. 17:9) แต่คุณสามารถทำได้ถ้าคุณ ‘ระวังในทางประพฤติตามพระดำรัสของพระเจ้า’ เสมอ. (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 119:9) ไม่ว่าคุณอาจลังเลที่จะรับบัพติสมาด้วยเหตุผลใดก็ตาม คุณจำเป็นต้องจัดการเรื่องที่ยังเป็นปัญหาและเรื่องที่คุณเป็นห่วงให้เรียบร้อย.
15, 16. คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณพร้อมจะรับบัพติสมาแล้วหรือไม่?
15 แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณพร้อมจะรับบัพติสมาแล้วหรือไม่? วิธีหนึ่งก็คือถามตัวเองด้วยคำถามอย่างเช่น ‘ฉันอธิบายคำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลแก่คนอื่น ๆ ได้ไหม? ฉันมีส่วนร่วมในการประกาศไหมเมื่อพ่อแม่ไม่ได้ไป? ฉันพยายามเข้าร่วมการประชุมคริสเตียนทุกรายการไหม? มีเหตุการณ์ใดบ้างที่ฉันต้านทานแรงกดดันจากคนรุ่นเดียวกัน? ฉันจะยังคงรับใช้พระยะโฮวาต่อไปไหมแม้แต่ถ้าพ่อแม่และเพื่อน ๆ เลิกรับใช้? ฉันอธิษฐานในเรื่องสายสัมพันธ์ที่ฉันมีกับพระเจ้าไหม? และฉันได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วยการอธิษฐานแล้วไหม?’
16 การรับบัพติสมาเป็นขั้นตอนที่เปลี่ยนชีวิตคนเราซึ่งไม่ควรถือเป็นเรื่องเล่น ๆ. คุณมีความเป็นผู้ใหญ่พอที่จะพิจารณาขั้นตอนนี้อย่างจริงจังไหม? ความเป็นผู้ใหญ่มีความหมายไม่เพียงแค่บรรยายจากเวทีได้ดีหรือตอบในการประชุมได้อย่างน่าประทับใจ. คนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ต้องสามารถตัดสินใจโดยอาศัยความเข้าใจตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิล. (อ่านฮีบรู 5:14) ถ้ามาถึงจุดหนึ่งในชีวิตที่คุณสามารถทำอย่างนั้นได้ สิ่งที่รออยู่ตรงหน้าคุณ คือสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กล่าวคือการรับใช้พระยะโฮวาสุดหัวใจและดำเนินชีวิตอย่างที่แสดงว่าคุณอุทิศตัวแด่พระองค์อย่างแท้จริง.
17. อะไรจะช่วยคุณให้รับมือการทดสอบที่อาจเกิดขึ้นหลังจากที่คุณรับบัพติสมา?
17 ทันทีหลังจากรับบัพติสมาแล้ว คุณอาจรู้สึกกระตือรือร้นอย่างยิ่งที่จะรับใช้พระเจ้า. แต่ในไม่ช้า คุณอาจประสบการทดลองที่ทดสอบว่าคุณมีความเชื่อมากน้อยแค่ไหนและอาจทดสอบความสามารถในการฟื้นตัวของคุณด้วย. (2 ติโม. 3:12) อย่าคิดว่าคุณต้องรับมือการทดสอบเหล่านี้แต่เพียงลำพัง. จงขอคำแนะนำจากพ่อแม่. ขอความช่วยเหลือจากพี่น้องที่มีประสบการณ์ในประชาคม. เป็นเพื่อนกับคนที่จะสนับสนุนคุณ. อย่าลืมว่าพระยะโฮวาทรงดูแลคุณ และพระองค์จะประทานกำลังที่จำเป็นแก่คุณเพื่อจะเผชิญสถานการณ์ใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น.—1 เป. 5:6, 7
คุณจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร?
18, 19. คุณอาจได้ประโยชน์จากการตรวจสอบการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ อย่างไร?
18 แม้คุณมีความตั้งใจจริง แต่ดูเหมือนว่าคุณไม่มีเวลาที่จะทำสิ่งที่คุณอยากทำและสิ่งที่คุณต้องทำไหม? ถ้าอย่างนั้น คุณควรตรวจสอบการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ. เพื่อเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบ ลองนำถังพลาสติกมาใบหนึ่งแล้วใส่หินก้อนใหญ่ ๆ หลายก้อนลงไป. จากนั้น เททรายลงไปในถัง. ถังก็จะเต็มด้วยหินและทราย. เทหินและทรายออกมากองไว้. คราวนี้ใส่ทรายลงไปในถังก่อน แล้วก็พยายามใส่ก้อนหินลงไปในถัง. ไม่มีที่พอจะใส่หินใช่ไหม? ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะคุณใส่ทรายลงไปในถังก่อน.
19 คุณพบปัญหาคล้าย ๆ กันเมื่อคุณจัดเวลา. ถ้าคุณจัดให้นันทนาการมาเป็นอันดับแรก คุณก็จะไม่มีเวลาพอสำหรับการทำสิ่งที่สำคัญในชีวิต ซึ่งก็คือการรับใช้พระเจ้า. แต่ถ้าคุณทำตามคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ “ตรวจดูให้แน่ใจว่าสิ่งไหนสำคัญกว่า” คุณก็จะพบว่าคุณมีเวลารับใช้พระเจ้าและพักผ่อนหย่อนใจตามสมควร.—ฟิลิป. 1:10
20. ถ้าคุณรู้สึกวิตกกังวลและไม่แน่ใจขณะที่พยายามบรรลุเป้าหมาย คุณควรทำอะไร?
20 ในขณะที่คุณพยายามบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ รวมถึงการรับบัพติสมา บางครั้งคุณอาจรู้สึกวิตกกังวลและไม่แน่ใจ. ถ้าอย่างนั้น ‘จงมอบภาระของคุณไว้กับพระเจ้า และพระองค์จะทรงค้ำจุนคุณ.’ (เพลง. 55:22) ขณะนี้ คุณมีโอกาสร่วมทำงานสำคัญที่น่าตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ คือการรณรงค์งานประกาศและงานสอนทั่วโลก. (กิจ. 1:8) คุณอาจเลือกที่จะเป็นผู้ชมและดูคนอื่นทำงานนี้. หรือคุณอาจเลือกที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์นี้. อย่ารีรอที่จะใช้ความสามารถของคุณในการส่งเสริมผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักร. คุณจะไม่เสียใจเลยที่ได้รับใช้ ‘พระองค์ผู้ได้ทรงสร้างตัวคุณ’ ขณะที่คุณเป็นเยาวชน.—ผู้ป. 12:1
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 7 โปรดดูหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 สิงหาคม 2009 หน้า 15-18.
คุณจะตอบอย่างไร?
• เหตุใดคุณควรตั้งเป้าหมาย?
• เป้าหมายอะไรบ้างที่คุ้มค่าแก่การทำให้สำเร็จ?
• การบรรลุเป้าหมายที่จะรับบัพติสมาเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง?
• การตรวจสอบการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ จะช่วยคุณได้อย่างไรให้บรรลุ
[คำถาม]
[ภาพหน้า 13]
คุณมีเป้าหมายที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุก ๆ วันไหม?
[ภาพหน้า 15]
อะไรจะช่วยคุณให้บรรลุเป้าหมายที่จะรับบัพติสมา?
[ภาพหน้า 16]
คุณเรียนอะไรได้จากตัวอย่างเปรียบเทียบนี้?