จงรับพระวิญญาณจากพระเจ้า ไม่ใช่น้ำใจของโลก
จงรับพระวิญญาณจากพระเจ้า ไม่ใช่น้ำใจของโลก
“เราไม่ได้รับน้ำใจของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณจากพระเจ้า เพื่อจะรู้จักสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานแก่เรา.”—1 โค. 2:12
1, 2. (ก) คริสเตียนแท้กำลังทำสงครามในความหมายเช่นไร? (ข) เราจะพิจารณาคำถามอะไร?
คริสเตียนแท้กำลังสู้รบ! ศัตรูของเรามีพลังมาก, เจ้าเล่ห์, และชำนาญศึก. มันใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพมากซึ่งครอบงำมนุษยชาติส่วนใหญ่. แต่เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าไร้อำนาจหรือไม่มีทางชนะ. (ยซา. 41:10) เรามีเครื่องปกป้องที่สามารถต้านทานการโจมตีทุกชนิด.
2 สงครามของเราไม่ใช่สงครามทางกาย แต่เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ. ศัตรูของเราคือซาตานพญามาร และอาวุธหลักที่มันใช้คือ “น้ำใจของโลก.” (1 โค. 2:12) เครื่องปกป้องหลักที่เราใช้ต้านทานการโจมตีของมันคือพระวิญญาณของพระเจ้า. เพื่อจะรอดจากสงครามนี้และรักษาความกระตือรือร้นฝ่ายวิญญาณ เราต้องขอพระวิญญาณจากพระเจ้าแล้วก็แสดงผลของพระวิญญาณในชีวิตเรา. (กลา. 5:22, 23) แต่ว่าน้ำใจของโลกคืออะไร และน้ำใจนี้มีอิทธิพลมากได้อย่างไร? เราจะบอกได้อย่างไรว่าน้ำใจของโลกกำลังมีอิทธิพลต่อเราหรือไม่? และเราจะเรียนอะไรได้จากพระเยซูเกี่ยวกับการรับพระวิญญาณจากพระเจ้าและการต้านทานน้ำใจของโลก?
น้ำใจของโลก—เหตุใดจึงแทรกซึมไปทั่ว
3. น้ำใจของโลกคืออะไร?
3 น้ำใจของโลกมีต้นตอมาจากซาตาน “ผู้ปกครองโลก” และน้ำใจนี้ต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า. (โย. 12:31; 14:30; 1 โย. 5:19) น้ำใจของโลกเป็นแนวโน้มที่มีอิทธิพลมากในโลกนี้และกระตุ้นผู้คนให้ลงมือกระทำ. พลังที่มีอิทธิพลนี้นำพาสังคมมนุษย์ให้ทำสิ่งที่ขัดกับพระประสงค์ของพระเจ้า.
4, 5. น้ำใจที่ซาตานส่งเสริมแทรกซึมไปทั่วได้อย่างไร?
4 น้ำใจที่ซาตานส่งเสริมนี้แทรกซึมไปทั่วได้อย่างไร? แรกทีเดียว ซาตานล่อลวงฮาวาในสวนเอเดน. มันทำให้นางเชื่อว่าการไม่หมายพึ่งพระเจ้าจะทำให้ชีวิตของนางดีขึ้น. (เย. 3:13) มันช่างมุสาเสียจริง ๆ! (โย. 8:44) จากนั้น มันก็ใช้วิธีที่แยบยลชักนำอาดามไม่ให้ภักดีต่อพระยะโฮวาโดยใช้ผู้หญิง. เพราะอาดามเลือกอย่างนี้ มนุษยชาติจึงตกเป็นทาสบาป และด้วยเหตุนั้นจึงรับเอาแนวโน้มที่จะถูกชักนำโดยน้ำใจแห่งการไม่เชื่อฟังของซาตาน.—อ่านเอเฟโซส์ 2:1-3
5 ซาตานยังโน้มน้าวทูตสวรรค์จำนวนมาก ทำให้ทูตสวรรค์เหล่านี้กลายเป็นพวกปิศาจ. (วิ. 12:3, 4) การ ทรยศพระเจ้าเช่นนั้นเกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาหนึ่งก่อนน้ำท่วมโลกในสมัยโนอาห์. ทูตสวรรค์เหล่านั้นเชื่อว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีกว่าถ้าละทิ้งตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายในสวรรค์แล้วปล่อยตัวตามความปรารถนาที่ผิดธรรมชาติบนแผ่นดินโลก. (ยูดา 6) ด้วยความช่วยเหลือจากปิศาจเหล่านี้ซึ่งตอนนี้กลับไปอยู่ในแดนวิญญาณแล้ว ซาตานกำลัง “ชักนำทั้งโลกให้หลงผิด.” (วิ. 12:9) น่าเศร้า มนุษยชาติส่วนใหญ่ยังคงไม่ตระหนักถึงอิทธิพลของพวกปิศาจ.—2 โค. 4:4
น้ำใจของโลกกำลังมีอิทธิพลต่อคุณไหม?
6. น้ำใจของโลกจะมีอิทธิพลต่อเราได้โดยวิธีใดเท่านั้น?
6 หลายคนมองไม่เห็นอิทธิพลของซาตาน แต่คริสเตียนรู้อุบายของมัน. (2 โค. 2:11) ที่จริง น้ำใจของโลกไม่อาจมีอิทธิพลต่อเราเว้นแต่ว่าเรายอมให้มันมีอิทธิพลต่อเรา. ขอให้เราพิจารณาสี่คำถามที่จะช่วยเผยให้เห็นว่าเรากำลังให้พระวิญญาณของพระเจ้าหรือน้ำใจของโลกชักนำเรา.
7. วิธีหนึ่งที่ซาตานพยายามทำให้เราห่างเหินจากพระยะโฮวาคืออะไร?
7 ความบันเทิงที่ฉันเลือกเผยให้เห็นอะไรเกี่ยวกับตัวฉัน? (อ่านยาโกโบ 3:14-18) ซาตานพยายามทำให้เราห่างเหินจากพระเจ้าโดยปลุกเร้าให้รักความรุนแรง. พญามารรู้ว่าพระยะโฮวาทรงเกลียดใครก็ตามที่รักความรุนแรง. (เพลง. 11:5) ด้วยเหตุนั้น ซาตานพยายามใช้หลายสิ่งเพื่อดึงดูดความปรารถนาทางกายของเรา เช่น สิ่งพิมพ์, ภาพยนตร์, ดนตรี, และเกมคอมพิวเตอร์—ซึ่งเกมบางชนิดกระตุ้นผู้เล่นให้เลียนแบบการทำผิดศีลธรรมและความโหดร้ายอย่างน่าขยะแขยง. ตราบใดที่ส่วนหนึ่งของหัวใจเรารักสิ่งชั่วร้ายที่ซาตานส่งเสริมมันก็พอใจแล้ว แม้ว่าเรายังคงรักสิ่งที่ถูกต้อง.—เพลง. 97:10
8, 9. เราควรถามตัวเองเช่นไรเกี่ยวกับความบันเทิง?
8 ในทางตรงกันข้าม พระวิญญาณของพระเจ้ากระตุ้นคนที่รักพระวิญญาณของพระองค์ให้เป็นคนบริสุทธิ์, มีสันติ, และเปี่ยมด้วยความเมตตา. เราควรถามตัวเองว่า ‘ความบันเทิงที่ฉันเลือกส่งเสริมคุณลักษณะที่ดีในตัวฉันไหม?’ สติปัญญาจากเบื้องบน “ไม่หน้าซื่อใจคด.” คนที่ได้รับอิทธิพลจากพระวิญญาณของพระเจ้าจะไม่ประกาศเรื่องความบริสุทธิ์และสันติสุขแก่เพื่อนบ้านแล้วเมื่ออยู่ที่บ้านก็หาความเพลิดเพลินด้วยการชมความรุนแรงที่ทารุณโหดเหี้ยมและการทำผิดศีลธรรม.
9 พระยะโฮวาทรงคาดหมายให้เราเลื่อมใสพระองค์เพียงผู้เดียว. แต่ซาตานพอใจถ้าเรานมัสการมันอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งอย่างที่มันพยายามให้พระเยซูทำ. (ลูกา 4:7, 8) เราอาจถามตัวเองว่า ‘ความบันเทิงที่ฉันเลือกทำให้ฉันถวายความเลื่อมใสแด่พระเจ้าเพียงผู้เดียวจริง ๆ ไหม? ความบันเทิงที่ฉันเลือกทำให้ฉันต้านทานน้ำใจของโลกได้ยากขึ้นหรือต้านทานได้ง่ายขึ้น? ฉันควรปรับเปลี่ยนอะไรไหมในเรื่องความบันเทิงที่ฉันจะเลือกในวันข้างหน้า?’
10, 11. (ก) น้ำใจของโลกส่งเสริมทัศนคติเช่นไรในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง? (ข) พระคำที่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้าสนับสนุนทัศนคติเช่นไร?
10 ทัศนคติของฉันต่อทรัพย์สินเงินทองเป็นเช่นไร? (อ่านลูกา 18:24-30) น้ำใจของโลกส่งเสริม “ความปรารถนาทางตา” ด้วยการสนับสนุนความโลภและวัตถุนิยม. (1 โย. 2:16) น้ำใจของโลกส่งเสริมให้ผู้คนจำนวนมากมุ่งจะร่ำรวย. (1 ติโม. 6:9, 10) น้ำใจนี้จะโน้มน้าวเราให้เชื่อว่าการสะสมสิ่งต่าง ๆ ทางวัตถุจะทำให้ชีวิตเรามั่นคง. (สุภา. 18:11) อย่างไรก็ตาม หากเราปล่อยให้การรักเงินมาแทนที่ความรักพระเจ้า ซาตานก็จะชนะ. เราควรถามตัวเองว่า ‘ชีวิตฉันมุ่งเน้นการแสวงหาความสะดวกสบายและความเพลิดเพลินด้านวัตถุไหม?’
11 ตรงกันข้าม พระคำที่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้าสนับสนุนเราให้มีทัศนะที่สมดุลในเรื่องเงิน และให้ทำงานหนักเพื่อจัดหาสิ่งจำเป็นด้านวัตถุสำหรับตัวเองและครอบครัว. (1 ติโม. 5:8) พระวิญญาณของพระเจ้าช่วยคนที่รับเอาพระวิญญาณนั้นให้เลียนแบบบุคลิกลักษณะของพระยะโฮวาในเรื่องความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่. คนเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ให้ ไม่ใช่ผู้รับ. พวกเขาตีค่าผู้คนสูงกว่าสิ่งของและยินดีแบ่งปันสิ่งที่พวกเขามีเมื่อทำได้. (สุภา. 3:27, 28) และพวกเขาไม่เคยปล่อยให้การมุ่งแสวงหาเงินมาก่อนการรับใช้พระเจ้า.
12, 13. เมื่อเทียบกับน้ำใจของโลก พระวิญญาณของพระเจ้าก่อผลดีต่อเราได้อย่างไร?
โกโลซาย 3:8-10, 13) น้ำใจของโลกส่งเสริมการกระทำที่เกิดจากความปรารถนาของกายที่มีบาป. (กลา. 5:19-21) การทดสอบที่แท้จริงในเรื่องที่ว่าเราได้รับอิทธิพลจากน้ำใจของโลกหรือพระวิญญาณของพระเจ้าไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่ชีวิตเราราบรื่น แต่เป็นตอนที่มีปัญหา เช่น เมื่อพี่น้องคริสเตียนเมินเฉยต่อเรา, ทำให้เราไม่พอใจ, หรือแม้แต่ทำผิดต่อเรา. นอกจากนั้น เมื่ออยู่ในบ้านของเราเองก็อาจเห็นได้ชัดว่าน้ำใจของโลกหรือพระวิญญาณของพระเจ้ามีอิทธิพลต่อเรา. เราควรตรวจสอบตัวเอง. จงถามตัวเองว่า ‘ในช่วงหกเดือนที่ผ่านไป บุคลิกภาพของฉันเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้นหรือว่านิสัยที่ไม่ดีบางอย่างในการพูดและการกระทำของฉันกลับมาเหมือนเดิม?’
12 บุคลิกภาพของฉันสะท้อนน้ำใจของโลกหรือพระวิญญาณของพระเจ้า? (อ่าน13 พระวิญญาณของพระเจ้าสามารถช่วยเราให้ “เปลื้องบุคลิกภาพเก่ากับกิจปฏิบัติต่าง ๆ ของมันทิ้งเสีย แล้วสวมบุคลิกภาพใหม่.” นั่นจะช่วยเราให้มีความรักและความกรุณามากขึ้น. เราพร้อมจะให้อภัยกันอย่างใจกว้าง แม้แต่ถ้ามีเหตุที่จะบ่น. เราจะไม่แสดงปฏิกิริยาต่อสิ่งที่เราถือว่าไม่ยุติธรรมด้วยการระเบิด “ความขุ่นแค้น ความโกรธ การเดือดดาล การตวาด และการพูดหยาบหยาม” อีกต่อไป. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราจะพยายาม “แสดงความเห็นใจกัน.”—เอเฟ. 4:31, 32
14. หลายคนในโลกมีทัศนะเช่นไรต่อพระคำของพระเจ้า?
14 ฉันนับถือและรักมาตรฐานด้านศีลธรรมของคัมภีร์ไบเบิลไหม? (อ่านสุภาษิต 3:5, 6) น้ำใจของโลกสะท้อนให้เห็นทัศนคติที่คัดค้านพระคำของพระเจ้า. คนที่ได้รับอิทธิพลจากน้ำใจนี้เพิกเฉยส่วนต่าง ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลที่พวกเขามองว่าไม่สะดวกที่จะปฏิบัติตาม แต่พวกเขาชอบธรรมเนียมและปรัชญาของมนุษย์มากกว่า. (2 ติโม. 4:3, 4) บางคนไม่เห็นค่าพระคำของพระเจ้าเลย. คนเช่นนี้สงสัยความสอดคล้องและความถูกต้องของคัมภีร์ไบเบิล และกลายเป็นคนที่คิดว่าตัวเองฉลาด. พวกเขาลดความสำคัญของมาตรฐานอันบริสุทธิ์สะอาดของพระคัมภีร์ที่ห้ามการเล่นชู้, การรักร่วมเพศ, และการหย่าร้าง. พวกเขาสอนว่า ‘ชั่วเป็นดี และดีเป็นชั่ว.’ (ยซา. 5:20) เราได้รับอิทธิพลจากน้ำใจเช่นนี้ไหม? เมื่อเผชิญปัญหา เราพึ่งสติปัญญาของมนุษย์รวมทั้งความคิดของเราเองไหม? หรือเราพยายามทำตามคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิล?
15. แทนที่จะพึ่งสติปัญญาของเราเอง เราควรทำอะไร?
15 พระวิญญาณของพระเจ้าช่วยเราให้นับถือคัมภีร์ไบเบิล. เช่นเดียวกับผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญ เรามองว่าพระคำของพระเจ้าเป็นทั้งตะเกียงส่องเท้าและเป็นโคมส่องทางให้เรา. (เพลง. 119:105) แทนที่จะพึ่งสติปัญญาของเราเอง เราเชื่อมั่นและพึ่งพระคำของพระเจ้าให้ช่วยเราแยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิด. เราไม่เพียงแค่เรียนรู้ที่จะนับถือ คัมภีร์ไบเบิล แต่รัก กฎหมายของพระเจ้าด้วย.—เพลง. 119:97
จงเรียนรู้จากตัวอย่างของพระเยซู
16. การมี “จิตใจอย่างพระคริสต์” เกี่ยวข้องกับอะไร?
16 เพื่อจะรับพระวิญญาณจากพระเจ้า เราต้องพัฒนาตัวเองให้มี “จิตใจอย่างพระคริสต์.” (1 โค. 2:16) เพื่อจะมี “ทัศนคติอย่างที่พระคริสต์เยซูทรงมี” เราต้องรู้วิธีที่พระองค์ทรงคิดและทำแล้วก็เลียนแบบพระองค์. (โรม 15:5; 1 เป. 2:21) ขอให้พิจารณาบางวิธีที่เราจะทำอย่างนั้นได้.
17, 18. (ก) เราเรียนอะไรได้จากพระเยซูในเรื่องการอธิษฐาน? (ข) เหตุใดเราควร “ขอต่อ ๆ ไป”?
17 จงอธิษฐานขอพระวิญญาณจากพระเจ้า. ก่อนถูกทดสอบ พระเยซูทรงอธิษฐานขอพระวิญญาณจากพระเจ้าให้ช่วยพระองค์. (ลูกา 22:40, 41) เราเองก็จำเป็นต้องขอพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระเจ้าด้วย. พระยะโฮวาประทานพระวิญญาณอย่างเต็มที่แก่ทุกคนที่ทูลขอด้วยความเชื่อ. (ลูกา 11:13) พระเยซูตรัสว่า “จงขอต่อ ๆ ไปแล้วจะได้รับ จงหาต่อ ๆ ไปแล้วจะพบ จงเคาะต่อ ๆ ไปแล้วจะเปิดให้. เพราะทุกคนที่ขอจะได้รับ ทุกคนที่หาจะพบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้.”—มัด. 7:7, 8
18 เมื่อทูลขอพระวิญญาณของพระยะโฮวาและความช่วยเหลือจากพระองค์ เราไม่ควรหยุดขอโดยเร็ว. เราอาจจำเป็นต้องอธิษฐานบ่อยขึ้นและไม่ควรรีบอธิษฐานให้เสร็จเร็ว ๆ. บางครั้ง พระยะโฮวาทรงให้ผู้ทูลขอได้มีโอกาสแสดงให้เห็นก่อนว่าพวกเขามีความห่วงใยอย่างลึกซึ้งและมีความเชื่ออย่างแท้จริง แล้วพระองค์จึงตอบคำอธิษฐานของพวกเขา. *
19. พระเยซูทรงทำอะไรเสมอ และเหตุใดเราควรเลียนแบบพระองค์?
19 จงเชื่อฟังพระยะโฮวาอย่างครบถ้วน. พระเยซูทรงทำสิ่งที่พระบิดาของพระองค์พอพระทัยเสมอ. มีอย่างน้อยโอกาสหนึ่งที่พระเยซูอยากจะจัดการสถานการณ์ในวิธีที่ต่างกับที่พระบิดาทรงประสงค์. ถึงกระนั้น พระองค์ตรัสกับพระบิดาด้วยความเชื่อมั่นว่า “อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด.” (ลูกา 22:42) ขอให้ถามตัวเองว่า ‘ฉันเชื่อฟังพระเจ้าไหมแม้แต่เมื่อทำได้ยาก?’ การเชื่อฟังพระเจ้าเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต. เราต้องเชื่อฟังพระองค์อย่างเต็มที่ในฐานะที่ทรงเป็นพระผู้สร้าง เป็นบ่อเกิดและผู้ค้ำจุนชีวิตเรา. (เพลง. 95:6, 7) ไม่มีอะไรจะมาแทนที่การเชื่อฟังได้. เราไม่อาจได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้าได้ถ้าเราไม่เชื่อฟังพระองค์.
20. ส่วนสำคัญในชีวิตของพระเยซูคืออะไร และเราจะเลียนแบบพระองค์ได้อย่างไร?
20 จงคุ้นเคยกับคัมภีร์ไบเบิลเป็นอย่างดี. เมื่อถูกซาตานโจมตีความเชื่อแบบซึ่ง ๆ หน้า พระเยซูทรงยกข้อความจากพระคัมภีร์มาโต้ตอบ. (ลูกา 4:1-13) เมื่อเผชิญหน้ากับพวกหัวหน้าศาสนาที่ต่อต้านพระองค์ พระเยซูทรงอ้างอิงพระคำของพระเจ้า. (มัด. 15:3-6) ส่วนสำคัญในชีวิตทั้งสิ้นของพระเยซูได้แก่การรู้จักและการทำตามกฎหมายของพระเจ้า. (มัด. 5:17) เราก็ต้องการจะป้อนความคิดจิตใจของเราด้วยพระคำของพระเจ้าที่เสริมความเชื่อด้วย. (ฟิลิป. 4:8, 9) การหาเวลาสำหรับการศึกษาส่วนตัวและการศึกษาประจำครอบครัวอาจเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเราบางคน. แต่แทนที่จะหา เวลา เราอาจต้องจัด เวลา.—เอเฟ. 5:15-17
21. เราอาจใช้การจัดเตรียมอะไรเพื่อช่วยเราให้รู้จักและใช้พระคำของพระเจ้าได้ดีขึ้น?
21 “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” ได้ช่วยเราให้จัดเวลาสำหรับการศึกษาส่วนตัวและการศึกษากับครอบครัวโดยกำหนดให้แต่ละครอบครัวมีการนมัสการประจำครอบครัวตอนเย็นในแต่ละสัปดาห์. (มัด. 24:45) คุณทำตามการจัดเตรียมนี้ไหม? เพื่อช่วยคุณให้มีจิตใจอย่างพระคริสต์ เมื่อ คุณศึกษา คุณจะพิจารณาอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูทรงสอนในหัวเรื่องต่าง ๆ ที่คุณเลือกได้ไหม? คุณอาจใช้ดัชนีสรรพหนังสือของว็อชเทาเวอร์ เพื่อหาข้อมูลที่พิจารณาเรื่องที่คุณจะใช้ในการศึกษา. ตัวอย่างเช่น ตั้งแต่ปี 2008 ถึง 2010 วารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับสาธารณะลงบทความชุดที่ชื่อ “สิ่งที่เราเรียนจากพระเยซู” ทั้งหมด 12 บทความ. คุณอาจอยากใช้บทความเหล่านี้สำหรับการศึกษา. เริ่มตั้งแต่ปี 2006 วารสารตื่นเถิด! ลงบทความที่ชื่อ “คุณจะตอบอย่างไร?” * คำถามทดสอบความรู้นี้ออกแบบไว้เพื่อช่วยให้คุณมีความรู้ในพระคำของพระเจ้ากว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น. คุณอาจพิจารณาบทความเหล่านี้ในการนมัสการประจำครอบครัวบ้างเป็นครั้งคราว.
เราชนะโลกได้
22, 23. เราต้องทำอะไรเพื่อจะชนะโลก?
22 เพื่อจะให้พระวิญญาณของพระเจ้าชี้นำเรา เราต้องต้านทานน้ำใจของโลก. การต้านทานเช่นนั้นไม่ง่ายเลย. การต้านทานนี้อาจเป็นการต่อสู้ที่ยากยิ่ง. (ยูดา 3) แต่เราจะชนะได้! พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ในโลกนี้พวกเจ้ามีความทุกข์ลำบาก แต่จงกล้าหาญเถิด! เราชนะโลกแล้ว.”—โย. 16:33
23 เราเองก็จะชนะโลกได้ถ้าเราต้านทานน้ำใจของโลกและทำทุกสิ่งที่เราทำได้เพื่อรับเอาพระวิญญาณจากพระเจ้า. จริงทีเดียว “ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะต่อสู้เราได้?” (โรม 8:31) ด้วยการรับพระวิญญาณจากพระเจ้าและทำตามการชี้นำของพระวิญญาณที่มีบอกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล เราจะมีความอิ่มใจยินดี, สันติสุข, ความสุข, และความมั่นใจเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ในโลกใหม่ที่ใกล้จะถึง.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 18 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูหนังสือคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ? หน้า 170-173.
^ วรรค 21 ตั้งแต่ฉบับมกราคม 2010 เปลี่ยนชื่อบทความเป็น “สำหรับการทบทวนในครอบครัว.”
คุณจำได้ไหม?
• เหตุใดน้ำใจของโลกจึงแทรกซึมไปทั่ว?
• มีสี่คำถามอะไรที่เราควรถามตัวเราเอง?
• มีสามสิ่งอะไรที่เราเรียนได้จากพระเยซูเกี่ยวกับการรับพระวิญญาณจากพระเจ้า?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 8]
ทูตสวรรค์บางองค์กลายเป็นปิศาจได้อย่างไร?
[ภาพหน้า 10]
ซาตานใช้น้ำใจของโลกเพื่อควบคุมผู้คน แต่เราสามารถหลุดพ้นจากอิทธิพลของมันได้