ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

เรื่องราวชีวิตจริง

พรจากพระยะโฮวาทำให้ชีวิตยายมีความสุขมากขึ้น

พรจากพระยะโฮวาทำให้ชีวิตยายมีความสุขมากขึ้น

ยายเกิดในปีคริสต์ศักราช 1927 ในเมืองวาคา เมืองเล็ก ๆ ในรัฐซัสแคตเชวัน ประเทศแคนาดา พ่อแม่ของยายมีลูกชายสี่คนและลูกสาวสามคนรวมทั้งหมดเจ็ดคน ยายก็เลยรู้วิธีอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ ตั้งแต่เป็นเด็ก

ครอบครัวเราได้รับผลกระทบจากช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลกในทศวรรษปี 1930 แม้เราไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้ขาดแคลนอาหาร เรามีไก่หลายตัวและแม่วัวตัวหนึ่ง เราจึงมีไข่ นม ครีม ชีส และเนยอย่างเหลือเฟือ นี่ทำให้เราทุกคนในครอบครัวต้องช่วยกันดูแลสัตว์และงานต่าง ๆ ในบ้าน

มีหลายเรื่องในตอนนั้นที่ยายคิดถึงซึ่งทำให้ยายมีความสุข เช่น ยายยังจำกลิ่นหอมหวานของแอปเปิลที่อบอวลไปทั่วห้อง ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเมื่อพ่อของยายเอาผลผลิตจากฟาร์มไปขายในเมือง พ่อก็มักจะกลับมาพร้อมกับผลแอปเปิลสด ๆ หนึ่งลัง ช่างดีจริง ๆ ที่พวกเราได้กินแอปเปิลหวานฉ่ำทุกวัน!

ครอบครัวของเราเรียนความจริง

ตอนที่พ่อแม่ของยายได้ยินความจริงเป็นครั้งแรก ยายอายุแค่ 6 ขวบ ก่อนหน้านั้น จอห์นนี่ซึ่งเป็นลูกชายคนแรกของครอบครัวได้ตายหลังจากที่เกิดมาไม่นาน พ่อแม่ของยายโศกเศร้าเสียใจมากพวกเขาจึงไปหาบาทหลวงประจำท้องถิ่นเพื่อถามว่า “ตอนนี้จอห์นนี่อยู่ที่ไหน?” บาทหลวงตอบว่า ทารกที่ตายไปก่อนที่จะได้รับศีลบัพติสมาจะไม่ได้ไปที่สวรรค์แต่จะไปที่ลิมโบ * บาทหลวงบอกว่าถ้าพ่อแม่ของยายจ่ายเงินให้เขา เขาจะช่วยอธิษฐานขอให้จอห์นนี่ออกมาจากลิมโบแล้วไปอยู่ในสวรรค์ เมื่อได้ยินอย่างนั้นพ่อแม่ของยายก็รู้สึกผิดหวังมากแล้วไม่คุยกับบาทหลวงอีกเลย แต่พวกเขาก็ยังสงสัยว่าจอห์นนี่อยู่ที่ไหน

วันหนึ่งแม่ได้พบหนังสือเล่มเล็กเล่มหนึ่งที่ชื่อคนตายอยู่ที่ไหน? (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งจัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา แม่อ่านด้วยความอยากรู้ พอพ่อกลับมา แม่ก็บอกพ่ออย่างตื่นเต้นว่า “ฉันรู้แล้วว่าจอห์นนี่อยู่ไหน เขานอนหลับอยู่ แต่วันหนึ่งเขาจะตื่นขึ้นมา” ในเย็นวันนั้น พ่อของยายก็อ่านหนังสือเล่มเล็กนั้นจนจบ พ่อกับแม่รู้สึกสบายใจที่รู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลพูดถึงคนตายว่าเป็นเหมือนคนนอนหลับ และจะฟื้นขึ้นจากตายในอนาคต—ผู้ป. 9:5, 10; กิจ. 24:15

สิ่งที่พ่อกับแม่พบได้เปลี่ยนชีวิตของเราให้ดีขึ้น เราได้รับทั้งการปลอบโยนและมีความสุข พ่อแม่เริ่มเรียนคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวาและเริ่มเข้าร่วมประชุมกับประชาคมเล็ก ๆ ในเมืองวาคาซึ่งพี่น้องส่วนใหญ่เป็นชาวยูเครน ไม่นาน พ่อกับแม่ก็เข้าร่วมในงานประกาศ

หลังจากนั้น เราก็ย้ายไปรัฐบริติชโคลัมเบียและประชาคมที่นั่นต้อนรับเราอย่างอบอุ่น ยายมีความสุขมากเมื่อคิดถึงตอนที่ครอบครัวของเราเตรียมหอสังเกตการณ์ สำหรับการประชุมวันอาทิตย์ด้วยกัน เราทุกคนพัฒนาความรักที่ลึกซึ้งต่อพระยะโฮวาและต่อความจริงในคัมภีร์ไบเบิล ยายเห็นว่าชีวิตของเราช่างมีความสุขและพระยะโฮวาอวยพรเรามากจริง ๆ

ไม่ง่ายเลยสำหรับเด็กอย่างเราที่จะคุยกับคนอื่น ๆ เกี่ยวกับความเชื่อของเรา แต่มีสิ่งที่ช่วยเราได้มากทีเดียว นั่นคือยายกับอีวาน้องสาวของยายมักจะเตรียมการเสนอหนังสือประจำเดือนด้วยกันบ่อย ๆ เพื่อสาธิตในการประชุมการรับใช้ แม้เราจะขี้อายแต่นี่ก็เป็นวิธีที่ดีเยี่ยมที่ช่วยเราให้รู้วิธีพูดกับคนอื่นเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล ยายรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่เราได้รับการฝึกอบรมในการประกาศ

เราไม่เคยลืมช่วงเวลาที่มีผู้รับใช้เต็มเวลามาพักกับเราที่บ้าน เช่น มีพี่น้องแจ็ก นาธานซึ่งเป็นผู้ดูแลหมวดมาเยี่ยมประชาคมและพักที่บ้านของเรา * เราชอบมากที่เขามีเรื่องเล่ามากมายที่ทำให้เรายินดี และคำชมเชยที่จริงใจของเขาทำให้เราอยากรับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์

ยายเคยคิดว่า “เมื่อฉันโตขึ้นฉันอยากเป็นเหมือนพี่น้องนาธาน” แล้วทีหลังยายจึงรู้ว่าตัวอย่างของพี่น้องนาธานนี่แหละที่ช่วยให้ยายเลือกทำงานรับใช้เต็มเวลาเป็นงานหลัก พอยายอายุ 15 ปี ยายก็มีความตั้งใจจะรับใช้พระยะโฮวา แล้วในปี 1942 ยายกับอีวาก็ได้รับบัพติสมา

ความเชื่อถูกทดสอบ

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกระแสรักชาติมีไปทั่ว ครูที่ใจแคบคนหนึ่งชื่อสก็อตต์ได้ไล่น้องสาวสองคนและน้องชายคนหนึ่งของยายออกจากโรงเรียนเพราะพวกเขาไม่ยอมเคารพธงชาติ จากนั้น เธอก็ติดต่อกับครูของยายและคะยั้นคะยอครูให้ไล่ยายออกด้วย แต่ครูของยายบอกว่า “เราอยู่ในประเทศเสรีและเรามีสิทธิ์ที่จะไม่ร่วมในการแสดงความรักชาติ” แม้ครูสก็อตต์จะกดดันครูของยายอย่างหนัก แต่ครูของยายก็พูดอย่างหนักแน่นว่า “นี่เป็นการตัดสินใจของฉัน”

ครูสก็อตต์ตอบว่า “ไม่ คุณไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ฉันจะรายงานเรื่องนี้ถ้าคุณไม่ไล่เมลีตาออก” ครูของยายจึงอธิบายให้พ่อแม่ของยายฟังว่าแม้ครูจะเชื่อว่าการทำอย่างนี้ไม่ถูกต้องแต่ครูก็ไม่อยากตกงานและครูก็ไม่มีทางเลือก ครูจึงจำเป็นต้องให้ยายออก ถึงอย่างนั้น เราก็ได้รับหนังสือและอุปกรณ์การเรียนเพื่อจะมาเรียนที่บ้านได้ ไม่นานหลังจากนั้น เราก็ย้ายไปเรียนอีกโรงเรียนหนึ่งที่ห่างออกไปประมาณ 32 กิโลเมตรซึ่งยอมให้เราเข้าเรียน

ในช่วงหลายปีที่มีสงคราม มีการสั่งห้ามสิ่งพิมพ์ของเรา แต่เราก็ไปประกาศตามบ้านโดยใช้คัมภีร์ไบเบิล จึงทำให้เราชำนาญมากขึ้นในการใช้พระคัมภีร์โดยตรงในการประกาศข่าวดีเรื่องการปกครองของพระเจ้า และยังช่วยเราให้คุ้นเคยกับคัมภีร์ไบเบิลและทำให้เราเป็นคริสเตียนที่ดีขึ้น นอกจากนั้น เรายังได้เห็นการช่วยเหลือจากพระยะโฮวาด้วย

เข้าสู่งานรับใช้เต็มเวลา

ยายมีฝีมือในการทำผมและเคยได้รับรางวัล

หลังจากยายกับอีวาเรียนจบ เราก็เริ่มเป็นไพโอเนียร์ทันที และยายก็ทำงานอาชีพไปด้วย ตอนแรกยายทำงานที่ห้างสรรพสินค้า ต่อมา ยายก็ไปเรียนทำผมอยู่ 6 เดือนเพราะตอนที่ยายอยู่บ้านยายก็ชอบทำผมอยู่แล้ว ยายได้งานที่ร้านทำผมสองวันต่อสัปดาห์และยังสอนทำผมเดือนละสองครั้งด้วย โดยวิธีนี้จึงทำให้ยายมีรายได้เพื่อรับใช้เต็มเวลา

ในปี 1955 ยายอยากเข้าร่วมการประชุมใหญ่ที่มีชื่อว่า “ราชอาณาจักรที่มีชัย” ซึ่งจัดทั้งในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาและที่นือเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี แต่ก่อนที่ยายจะไปนิวยอร์ก พี่น้องนาทาน นอร์กับภรรยาซึ่งมาจากสำนักงานใหญ่ได้มาประชุมใหญ่ที่เมืองแวนคูเวอร์ แคนาดา ในช่วงที่เขามาเยี่ยม ยายถูกขอให้ทำผมให้ภรรยาของพี่น้องนอร์ พี่น้องนอร์ชอบมากและเขาก็อยากพบกับยาย ตอนที่เราคุยกัน ยายบอกเขาว่ากำลังวางแผนไปประชุมที่นิวยอร์กแล้วไปต่อที่เยอรมนี เขาก็เลยเชิญยายให้ไปทำงานที่เบเธลบรุกลิน 9 วัน

การเดินทางครั้งนี้เปลี่ยนชีวิตยาย ยายได้พบพี่น้องชายคนหนึ่งชื่อทีโอดอร์ (เทด) จารัซที่นิวยอร์ก หลังจากที่ได้เจอเขา ยายแปลกใจเมื่อเขาถามว่า “คุณเป็นไพโอเนียร์ไหม?” ยายตอบว่า “ไม่ได้เป็นค่ะ” แล้วลาวอนเพื่อนของยายบังเอิญได้ยินก็พูดแทรกว่า “ใช่ค่ะ เธอเป็น” พี่น้องเทดทำหน้างง ๆ แล้วถามลาวอนว่า “เอ่อ ตกลง ใครรู้ดีกว่ากัน คุณหรือเธอ?” ยายก็เลยอธิบายว่ายายเคยเป็นไพโอเนียร์และตั้งใจจะเริ่มอีกครั้งให้เร็วที่สุดเมื่อกลับจากการประชุมใหญ่

แต่งงานกับชายผู้มีความเชื่อและรักพระเจ้า

พี่น้องเทดเกิดในปี 1925 ในรัฐเคนทักกี สหรัฐอเมริกา เขารับบัพติสมาตอนอายุ 15 ปี แม้ไม่มีใครในครอบครัวเข้ามาในความจริงแต่หลังจากรับบัพติสมาได้สองปีเขาก็เป็นไพโอเนียร์ประจำ และทำงานรับใช้เต็มเวลามาตลอดเกือบ 67 ปี

ในเดือนกรกฎาคมปี 1946 ตอนที่พี่น้องเทดอายุ 20 ปี เขาได้จบการศึกษาในโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดรุ่นที่ 7 หลังจากนั้น เขารับใช้เป็นผู้ดูแลหมวดในเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ต่อมาในปี 1951 เขาก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับใช้สาขาในออสเตรเลีย

พี่น้องเทดเข้าร่วมการประชุมใหญ่ที่เมืองนือเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี เราจึงมีโอกาสได้ใช้เวลาด้วยกัน นั่นทำให้ความรักของเราเริ่มเบ่งบาน ยายมีความสุขที่รู้ว่าเป้าหมายในชีวิตของพี่น้องเทดคือการรับใช้พระยะโฮวาสุดชีวิต เขาเป็นคนที่ทุ่มเทตัวเองและจริงจังในงานรับใช้ แต่เขาก็เป็นคนกรุณาและเป็นมิตร ยายรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่คำนึงถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ หลังจากการประชุมใหญ่ครั้งนั้น พี่น้องเทดกลับไปที่ออสเตรเลียและยายก็กลับไปที่แวนคูเวอร์แต่เราก็ยังติดต่อกันทางจดหมายเป็นประจำ

หลังจากที่พี่น้องเทดรับใช้ในออสเตรเลียมาทั้งหมดประมาณ 5 ปี เขาก็กลับไปที่สหรัฐแล้วต่อมาก็มารับใช้เป็นไพโอเนียร์ที่แวนคูเวอร์ ยายมีความสุขที่เห็นว่าครอบครัวยายชอบเขามาก ไมเคิลพี่ชายคนโตของยายมักจะหวงยายมากเมื่อมีพี่น้องหนุ่ม ๆ มาจีบยาย แต่พอไมเคิลได้รู้จักพี่น้องเทดไม่ทันไรเขาก็ชอบพี่น้องเทดมาก พี่ชายบอกยายว่า “เมลีตา เธอเจอผู้ชายที่ดีแล้วนะ เธอควรทำดีกับเขามาก ๆ อย่าปล่อยให้เขาหลุดมือไปล่ะ”

หลังจากแต่งงานในปี 1956 เรามีความสุขในการรับใช้เต็มเวลาด้วยกันหลายปี

ยายก็ชอบพี่น้องเทดมากด้วยเหมือนกัน เราจึงแต่งงานกันในวันที่ 10 ธันวาคม 1956 เราเป็นไพโอเนียร์ด้วยกันในแวนคูเวอร์ จากนั้นก็ในแคลิฟอร์เนีย แล้วก็ถูกมอบหมายให้ทำงานเดินหมวดในรัฐมิสซูรีและอาร์คันซอ เป็นเวลาถึง 18 ปีที่เราพักในบ้านที่ไม่ซ้ำกันทุกสัปดาห์ เนื่องจากเราทำงานรับใช้เดินทางทั่วเขตที่กว้างใหญ่ของสหรัฐ เรามีประสบการณ์ดี ๆ ในงานรับใช้และมีความสุขกับการคบหาเป็นเพื่อนกับพี่น้องชายหญิง แม้ไม่ง่ายที่จะย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งทุกสัปดาห์ แต่เราก็มีความสุขที่ได้เยี่ยมประชาคมต่าง ๆ

ยายนับถือพี่น้องเทดมากที่เขาเห็นคุณค่าความสัมพันธ์ของเขากับพระยะโฮวาเสมอ เขาทะนุถนอมงานรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ที่เขามีต่อผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอกภพ เราชอบอ่านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วยกัน ตอนกลางคืนก่อนนอน เราจะคุกเข่าลงข้างเตียงแล้วเขาจะนำอธิษฐาน จากนั้นเราจะแยกกันอธิษฐานส่วนตัว ยายจะรู้เลยว่าวันไหนที่เขามีเรื่องหนักใจเพราะเขาจะลุกจากเตียงแล้วก็คุกเข่าอธิษฐานเงียบ ๆ เป็นเวลานาน ยายเห็นค่ามากจริง ๆ ที่เขาอยากอธิษฐานถึงพระยะโฮวาไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่

ไม่กี่ปีหลังจากที่เราแต่งงาน พี่น้องเทดก็อธิบายให้ยายฟังว่าเขาจะเริ่มกินเครื่องหมายในการประชุมอนุสรณ์ เขาบอกว่า “ผมอธิษฐานในเรื่องนี้อย่างจริงจังเพื่อให้แน่ใจว่าผมกำลังทำสิ่งที่พระยะโฮวาอยากให้ผมทำจริง ๆ” ยายไม่แปลกใจเลยที่เขาถูกเจิมโดยพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าให้ไปรับใช้พระองค์ในสวรรค์ ยายมองว่าเป็นโอกาสพิเศษที่ได้สนับสนุนพี่น้องของพระคริสต์คนหนึ่ง—มัด. 25:35-40

งานรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์อีกแบบหนึ่ง

ในปี 1974 เราแปลกใจมากเมื่อพี่น้องเทดได้รับเชิญให้เป็นสมาชิกของคณะกรรมการปกครองของพยานพระยะโฮวา แล้วหลังจากนั้นเราก็ถูกเรียกให้ไปรับใช้ที่เบเธลในบรุกลิน ขณะที่พี่น้องเทดทำหน้าที่ในคณะกรรมการปกครอง ยายก็ทำงานเป็นแม่บ้านดูแลห้องต่าง ๆ และทำงานในห้องทำผมด้วย

พี่น้องเทดมีหน้าที่รับผิดชอบไปเยี่ยมสาขาต่าง ๆ เขาสนใจงานประกาศในประเทศที่ถูกสั่งห้ามเป็นพิเศษ เช่น ประเทศในแถบยุโรปตะวันออกที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสหภาพโซเวียต ครั้งหนึ่งช่วงที่เราไปพักร้อนในสวีเดนซึ่งเป็นการพักร้อนที่เราต้องการมาก พี่น้องเทดบอกว่า “เมลีตางานประกาศในโปแลนด์ถูกสั่งห้าม และผมอยากไปช่วยพี่น้องที่นั่น” เราจึงขอวีซ่าแล้วไปที่โปแลนด์ พี่น้องเทดได้เจอกับพี่น้องบางคนที่ดูแลงานประกาศที่นั่น พวกเขาเดินคุยกันไปเรื่อย ๆ เป็นเวลานานเพื่อคนอื่นจะไม่ได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุย พี่น้องได้ประชุมกันอย่างจริงจังเป็นเวลาถึงสี่วัน ยายยินดีมากที่เห็นพี่น้องเทดมีความสุขที่ได้ช่วยพี่น้องร่วมความเชื่อของเขา

เราได้ไปเยี่ยมโปแลนด์อีกครั้งหนึ่งในเดือนพฤศจิกายนปี 1977 ตอนนั้นสมาชิกของคณะกรรมการปกครองซึ่งมีพี่น้องเอฟ. ดับเบิลยู. แฟรนซ์ พี่น้องแดเนียล ซิดลิก และพี่น้องเทดได้ไปเยี่ยมโปแลนด์ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ แม้งานของเรายังคงถูกสั่งห้ามแต่คณะกรรมการปกครองทั้งสามคนก็สามารถพูดคุยกับผู้ดูแล ไพโอเนียร์ และพยานที่รับใช้มานานในเมืองต่าง ๆ ได้

พี่น้องเทดกับคนอื่น ๆ ถ่ายรูปร่วมกันที่หน้ากระทรวงยุติธรรมในมอสโก หลังจากงานของเราได้รับการยอมรับตามกฎหมาย

ปีต่อมา พี่น้องมิลตัน เฮนเชลกับพี่น้องเทดก็ไปเยี่ยมโปแลนด์ พวกเขาเข้าพบเจ้าหน้าที่รัฐบาลซึ่งยอมรับพวกเราและกิจกรรมของเรามากขึ้น ในปี 1982 รัฐบาลโปแลนด์ก็อนุญาตให้พี่น้องของเราจัดการประชุมใหญ่หนึ่งวัน ปีต่อมา ได้มีการจัดการประชุมที่ใหญ่กว่าซึ่งส่วนใหญ่จัดในห้องประชุมที่เราเช่า แม้การสั่งห้ามยังคงดำเนินต่อไปแต่พอถึงปี 1985 เราก็ได้รับอนุญาตให้จัดการประชุมใหญ่ในสนามกีฬาขนาดใหญ่สี่แห่ง จากนั้น ในเดือนพฤษภาคมปี 1989 ขณะที่เรากำลังวางแผนจัดการประชุมที่ใหญ่ขึ้น รัฐบาลโปแลนด์ก็ให้พยานพระยะโฮวาเป็นที่ยอมรับตามกฎหมาย คงมีเหตุการณ์ไม่กี่อย่างที่ทำให้พี่น้องเทดมีความสุขมากไปกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้

การประชุมใหญ่ที่โปแลนด์

รับมือกับปัญหาสุขภาพ

ในปี 2007 ขณะที่เราเตรียมไปร่วมการอุทิศสำนักงานสาขาที่แอฟริกาใต้ ตอนนั้น เราอยู่ที่อังกฤษและพี่น้องเทดมีความดันโลหิตสูงจนหมอแนะนำให้เลื่อนการเดินทางออกไป หลังจากที่พี่น้องเทดอาการดีขึ้น เราก็กลับไปที่สหรัฐ แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา พี่น้องเทดก็มีอาการเส้นเลือดในสมองขั้นรุนแรงจนทำให้เขาเป็นอัมพาตซีกขวา

พี่น้องเทดฟื้นตัวจากอาการป่วยอย่างช้า ๆ และยังไปทำงานในออฟฟิศไม่ได้ แต่เราก็ดีใจที่การพูดของเขาเป็นปกติ แม้เขาจะยังทำอะไรไม่ได้มากแต่เขาก็พยายามทำตามกิจวัตรที่เคยทำและถึงกับเข้าร่วมการประชุมของคณะกรรมการปกครองทุกสัปดาห์ทางโทรศัพท์จากห้องพักของเราด้วย

พี่น้องเทดรู้สึกขอบคุณมากที่ได้ทำกายภาพบำบัดที่เบเธล แล้วเขาก็ค่อย ๆ เคลื่อนไหวได้มากขึ้น เขาสามารถเอาใจใส่งานมอบหมายบางอย่างและเขาก็มีความยินดีเสมอ

สามปีต่อมา เขาก็มีอาการเส้นเลือดในสมองอีกครั้งหนึ่งและเสียชีวิตอย่างสงบในวันพุธที่ 9 มิถุนายนปี 2010 แม้ยายจะรู้ว่าสักวันหนึ่งพี่น้องเทดจะต้องจบชีวิตบนโลกแต่ยายก็อธิบายไม่ได้ว่าเจ็บปวดมากแค่ไหนที่สูญเสียเขาไป และยายก็คิดถึงเขามาก ยายขอบคุณพระยะโฮวาทุกวันในสิ่งที่ยายทำได้เพื่อช่วยพี่น้องเทด เรามีความสุขกับการได้รับใช้เต็มเวลาด้วยกันถึง 53 ปี ยายขอบคุณพระยะโฮวาที่พี่น้องเทดช่วยยายให้ใกล้ชิดกับพระยะโฮวาพ่อในสวรรค์ ตอนนี้ ยายไม่สงสัยเลยว่างานมอบหมายใหม่ในสวรรค์ที่พี่น้องเทดได้รับคงจะทำให้เขามีความยินดีและมีความพอใจมาก

พบข้อท้าทายใหม่ในชีวิต

ยายมีความสุขมากที่ได้ทำงานในห้องทำผมที่เบเธลและช่วยสอนพี่น้องหญิงคนอื่น ๆ

แม้หลายปีที่ผ่านมายายจะมีความสุขกับงานมากมายที่ได้ทำร่วมกับสามี แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้ไม่ง่ายเลยสำหรับยาย เช่น ยายกับพี่น้องเทดชอบพบปะพูดคุยกับผู้ที่มาเยี่ยมเบเธลและพี่น้องที่หอประชุมของเรา แต่ตอนนี้พี่น้องเทดไม่อยู่แล้ว และยายก็ไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน ยายเลยไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับใครมากนัก ถึงอย่างนั้นยายก็ยังยินดีที่ได้อยู่กับพี่น้องชายหญิงในเบเธลและในประชาคม แม้การทำตามกิจวัตรในเบเธลไม่ใช่เรื่องง่ายแต่การรับใช้พระเจ้าที่นี่ก็ทำให้ยายมีความสุข และความรักที่ยายมีต่องานประกาศไม่เคยลดลง แม้ยายจะเหนื่อยและยืนนาน ๆ ไม่ค่อยไหวแต่ยายก็มีความสุขที่ได้ประกาศที่ถนนและนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับหลายคน

เมื่อยายเห็นสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในโลก ยายรู้สึกดีใจและขอบคุณพระยะโฮวาจริง ๆ ที่ได้รับใช้พระองค์ด้วยกันกับสามีที่น่ารัก! ใช่แล้ว พรของพระยะโฮวาทำให้ยายมีชีวิตที่มีความสุขจริง ๆ—สุภา. 10:22

^ วรรค 8 ลิมโบเป็นคำที่คริสตจักรโรมันคาทอลิกใช้อธิบายถึงสถานที่ที่วิญญาณของคนดีและทารกซึ่งไม่ได้รับศีลบัพติสมาจะไปอยู่หลังจากที่ตาย

^ วรรค 13 เรื่องราวชีวิตจริงของพี่น้องแจ็ก นาธานอยู่ในหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 กันยายน 1990 น. 10-14