คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตคน
หญิงสาวที่ไม่เคยสนใจเรื่องพระเจ้าและมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพที่มีเกียรติมาพบจุดมุ่งหมายที่แท้จริงในชีวิตได้อย่างไร? ชายหนุ่มชาวคาทอลิกคนหนึ่งได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับความตายซึ่งทำให้เขาเปลี่ยนแนวทางชีวิต? และชายหนุ่มคนหนึ่งที่เคยผิดหวังกับชีวิตได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพระเจ้าซึ่งทำให้เขาเปลี่ยนมาเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาคริสเตียน? เชิญอ่านเรื่องราวที่พวกเขาจะเล่าต่อไปนี้.
“ฉันสงสัยมาตลอดว่า ‘เราเกิดมาทำไม?’”—โรซาลินด์ จอห์น
-
ปีเกิด: 1963
-
ประเทศบ้านเกิด: อังกฤษ
-
อดีต: มีอาชีพที่มีเกียรติ
ชีวิตที่ผ่านมา:
ฉันเกิดในครอยดอนเมืองเล็ก ๆ ทางใต้ของลอนดอน และเป็นลูกคนที่หกในครอบครัวที่มีพี่น้องเก้าคน. พ่อแม่ของฉันย้ายมาจากเกาะเซนต์วินเซนต์ในทะเลแคริบเบียน. แม่ของฉันไปโบสถ์เมทอดิสต์. ฉันไม่สนใจที่จะเรียนรู้เรื่องพระเจ้าเลย แม้ว่าโดยนิสัยแล้วฉันเป็นคนที่รักการเรียนรู้. ช่วงปิดเทอมฉันมักจะยืมหนังสือหลายเล่มจากห้องสมุดไปอ่านที่ทะเลสาบใกล้บ้าน.
หลังจากจบชั้นมัธยม ฉันก็พบว่าใจจริงแล้วฉันอยากช่วยเหลือคนด้อยโอกาส. ฉันเริ่มทำงานกับหน่วยงานที่ช่วยเหลือคนไร้บ้าน คนพิการ และคนที่มีความบกพร่องด้านการเรียนรู้. ระหว่างนั้นฉันไปเรียนด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง. หลังจากเรียนจบ ฉันได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่คิดฝันมาก่อนและเริ่มใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย. ฉันเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านการบริหารและเป็นนักวิจัยสังคมที่ทำงานแบบอิสระ ดังนั้น ฉันจึงทำงานได้ทุกที่เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปกับสัญญาณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต. ฉันมักจะเดินทางไปต่างประเทศครั้งละสองสามสัปดาห์ พักในโรงแรมสวยหรูที่ฉันชอบ และเข้าสปากับฟิตเนสเพื่อจะมีรูปร่างดีและสุขภาพแข็งแรงเสมอ. ฉันคิดว่านี่แหละคือความสุขของชีวิต. แต่ฉันก็ยังเป็นห่วงเพื่อนมนุษย์ที่ทุกข์ยากและถูกกดขี่.
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตฉันอย่างไร:
ฉันสงสัยมาตลอดว่า ‘เราเกิดมาทำไมและจุดมุ่งหมายของชีวิตคืออะไร?’ แต่ฉันไม่เคยคิดที่จะหาคำตอบจากคัมภีร์ไบเบิล. วันหนึ่งในปี 1999 น้องสาวของฉันชื่อมาร์กาเรตซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวามาเยี่ยมฉัน. เพื่อนที่มากับน้องสาวถามเรื่องราวของฉันด้วยความสนใจ. ฉันตกลงใจศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเธอ. แต่ฉันก้าวหน้าช้ามากเพราะงานอาชีพและรูปแบบชีวิตของฉันทำให้ไม่มีเวลามากนัก.
ในฤดูร้อนปี 2002 ฉันย้ายไปอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ. ฉันเริ่มศึกษาต่อในระดับปริญญาโทด้านการวิจัยสังคม และมีเป้าหมายที่จะเรียนจนจบปริญญาเอก. ฉันเริ่มเข้าร่วมการประชุมที่หอประชุมราชอาณาจักรในท้องถิ่นบ่อยขึ้นโดยพาลูกชายที่ยังเล็กไปด้วย. แม้ฉันจะมีความสุขกับการเรียนในมหาวิทยาลัย แต่การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลช่วยให้ฉันเข้าใจปัญหาชีวิตได้ดีกว่าและยังรู้วิธีแก้ปัญหาเหล่านั้นด้วย. ฉันพบว่าคำกล่าวในมัดธาย 6:24 เป็นความจริง เพราะข้อนั้นบอกว่าเราไม่สามารถเป็นทาส ของนายสองคนได้. เราต้องเลือกว่าจะเป็นทาสของพระเจ้าหรือทาสของเงินทอง. ฉันรู้ว่าฉันต้องตัดสินใจว่าจะให้อะไรสำคัญที่สุดในชีวิต.
ก่อนหน้านั้นหนึ่งปี ฉันมักจะเข้าร่วมการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่บ้านของพยานฯ ซึ่งจัดเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยใช้หนังสือพระผู้สร้างผู้ใฝ่พระทัยในตัวคุณมีไหม? * ฉันเริ่มเชื่อว่ามีเพียงพระยะโฮวาพระผู้สร้างองค์เดียวเท่านั้นที่รู้วิธีแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของมนุษย์. แต่ที่มหาวิทยาลัยสอนว่าไม่จำเป็นต้องเชื่อเรื่องพระผู้สร้างเพื่อจะเข้าใจความหมายของชีวิต. ฉันโมโหมาก. สองเดือนต่อมา ฉันลาออกจากมหาวิทยาลัยและตัดสินใจทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้น.
ข้อคัมภีร์ที่กระตุ้นให้ฉันปรับเปลี่ยนรูปแบบชีวิตคือสุภาษิต 3:5, 6 ซึ่งกล่าวว่า “จงวางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดใจของเจ้า, อย่าพึ่งในความเข้าใจของตนเอง: จงรับพระองค์ให้เข้าส่วนในทางทั้งหลายของเจ้า, และพระองค์จะชี้ทางเดินของเจ้าให้แจ่มแจ้ง.” การเรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักทำให้มีความสุขมากกว่าการมีฐานะร่ำรวยหรือมีเกียรติเพราะจบดอกเตอร์. ยิ่งได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระประสงค์ของพระยะโฮวาสำหรับแผ่นดินโลกและบทบาทของพระเยซูที่ได้สละชีวิตเพื่อพวกเรา ฉันก็ยิ่งต้องการจะอุทิศชีวิตของฉันแด่พระผู้สร้าง. ฉันรับบัพติสมาในเดือนเมษายน 2003. หลังจากนั้น ฉันก็ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนชีวิตให้เรียบง่ายขึ้น.
ประโยชน์ที่ได้รับ:
การเป็นมิตรกับพระยะโฮวาเป็นสิทธิพิเศษที่ไม่มีอะไรเทียบได้. การได้รู้จักพระองค์ทำให้ฉันมีใจสงบและมีความยินดี. นอกจากนี้ ฉันมีความสุขมากที่ได้คบหากับผู้นมัสการแท้ของพระเจ้า.
ฉันยังชอบเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ อยู่เสมอ และฉันได้รับความรู้อย่างจุใจเมื่อศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและเข้าร่วมการประชุมคริสเตียน. ฉันชอบบอกคนอื่น ๆ เกี่ยวกับความเชื่อของฉัน. การประกาศกลายเป็นงานหลักของฉัน. งานนี้ทำให้ฉันสามารถช่วยผู้คนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแท้จริงและมีความหวังที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับชีวิตในโลกใหม่. ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2008 ฉันเริ่มทำงานเผยแพร่เต็มเวลา และงานนี้ทำให้ฉันมีความสุขและอิ่มใจพอใจมากกว่าแต่ก่อน. ฉันได้พบจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของชีวิต เพราะเหตุนี้ฉันจึงขอบคุณพระยะโฮวาอย่างเหลือล้น.
“การตายของเพื่อนทำให้ผมสะเทือนใจมาก.”—โรมัน อีร์เนสเบอร์เกอร์
-
ปีเกิด: 1973
-
ประเทศบ้านเกิด: ออสเตรีย
-
อดีต: นักพนัน
ชีวิตที่ผ่านมา:
ผมเติบโตขึ้นในบราวนาว เมืองเล็ก ๆ ของออสเตรีย. บ้านของเราอยู่ในย่านคนรวยและมีอาชญากรรมน้อยมาก. ครอบครัวผมเป็นคาทอลิก ผมจึงนับถือศาสนานี้มาตั้งแต่เกิด.
ตอนเป็นเด็ก มีเหตุการณ์หนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผมอย่างมาก. วันหนึ่งในปี 1984 ตอนนั้นผมอายุ
11 ขวบ ผมจำได้ว่าผมเล่นฟุตบอลกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง แล้วบ่ายวันนั้นเขาก็เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์. การตายของเพื่อนทำให้ผมสะเทือนใจมาก. หลายปีหลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น ผมก็ยังครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนเราตาย.หลังจากเรียนจบผมทำงานเป็นช่างไฟฟ้า. แม้ว่าผมจะติดการพนันงอมแงมและเล่นทีละมาก ๆ แต่ผมก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงิน. ผมชอบเล่นกีฬามากและเริ่มหลงใหลดนตรีเฮฟวีเมทัลกับพังก์ร็อก. ผมชอบไปดิสโกกับงานปาร์ตี้เป็นชีวิตจิตใจ. ผมใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานและไร้ศีลธรรม แต่ชีวิตผมก็ยังว่างเปล่าไร้จุดหมาย.
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตผมอย่างไร:
ในปี 1995 พยานฯ สูงอายุคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านผมและเสนอหนังสือเล่มหนึ่งที่ให้คำตอบจากคัมภีร์ไบเบิลสำหรับคำถามที่ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราตายไป? การตายของเพื่อนรักในวัยเด็กยังฝังใจผมอยู่ ผมจึงรับหนังสือมาอ่าน. ผมอ่านหนังสือเล่มนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่เฉพาะบทที่พูดถึงความตายเท่านั้น!
ผมได้คำตอบเกี่ยวกับความตายจากหนังสือเล่มนั้น. แต่ผมได้เรียนรู้มากกว่านั้นอีก. เนื่องจากผมเติบโตขึ้นในครอบครัวคาทอลิก พระเยซูจึงเป็นจุดศูนย์รวมความเชื่อของผม. อย่างไรก็ตาม การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างละเอียดช่วยผมพัฒนาสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวาพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาของพระเยซู. ผมประทับใจที่ได้รู้ว่าพระยะโฮวาไม่ใช่พระเจ้าที่ลึกลับหรืออยู่ห่างไกลจากมนุษย์ แต่พระองค์ทรงเต็มพระทัยเปิดเผยพระองค์เองแก่คนที่แสวงหาพระองค์. (มัดธาย 7:7-11) ผมได้เรียนรู้ว่าพระยะโฮวาทรงมีความรู้สึกและทรงทำตามคำตรัสของพระองค์เสมอ. เรื่องนี้จุดประกายให้ผมสนใจศึกษาคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจังและค้นคว้าว่าคำพยากรณ์เหล่านั้นได้สำเร็จเป็นจริงอย่างไร. การศึกษาค้นคว้าเช่นนั้นทำให้ผมมีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้น.
ไม่นาน ผมก็ตระหนักว่ามีพยานพระยะโฮวาเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่สนใจและอยากช่วยผู้คนให้เข้าใจคัมภีร์ไบเบิลจริง ๆ. ผมจดข้อคัมภีร์ที่อ้างถึงในหนังสือของพยานฯ และเปิดดูในพระคัมภีร์คาทอลิกของผม. ยิ่งศึกษาค้นคว้ามากเท่าไร ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าได้พบความจริงแล้ว.
การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทำให้ผมรู้ว่าพระยะโฮวาทรงต้องการให้ผมดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์. เมื่ออ่านเอเฟโซส์ 4:22-24 ผมได้เห็นว่าผมต้องละทิ้ง “บุคลิกภาพเก่า” ที่เป็นไปตาม “แนวการประพฤติเดิม” ของผม และ “สวมบุคลิกภาพใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นตามที่พระเจ้าทรงประสงค์.” ผมจึงเลิกใช้ชีวิตแบบที่ผิดศีลธรรม. นอกจากนั้น ผมรู้ว่าผมต้องเลิกเล่นการพนันเพราะนิสัยเช่นนั้นทำให้ผมกลายเป็นคนโลภและนิยมวัตถุ. (1 โครินท์ 6:9, 10) ผมรู้ว่าถ้าจะเลิกนิสัยเหล่านี้ ผมต้องเลิกคบเพื่อนเก่า ๆ และหาเพื่อนใหม่ที่มีมาตรฐานชีวิตแบบเดียวกัน.
ไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนตัวเองเช่นนั้น. แต่ผมเริ่มเข้าร่วมการประชุมกับพยานฯ ที่หอประชุมและคบหากับเพื่อนใหม่ในประชาคมคริสเตียน. นอกจากนี้ ผมยังศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นส่วนตัวอย่างจริงจังต่อไป. ทั้งหมดนี้ทำให้ผมเปลี่ยนรสนิยมด้านดนตรี เปลี่ยนเป้าหมายในชีวิต และแต่งกายสุภาพเรียบร้อยขึ้น. ในปี 1995 ผมได้รับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวา.
ประโยชน์ที่ได้รับ:
ตอนนี้ผมมีทัศนะที่สมดุลในเรื่องเงินและสมบัติวัตถุ. ผมเคยเป็นคนเจ้าอารมณ์แต่ตอนนี้ใจเย็นลงมาก และผมไม่วิตกกังวลกับอนาคตเหมือนแต่ก่อน.
ผมยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมพี่น้องนานาชาติที่กำลังรับใช้พระยะโฮวา. พี่น้องหลายคนต้องต่อสู้กับปัญหามากมายแต่พวกเขาก็ยังรับใช้พระเจ้าอย่างซื่อสัตย์. ผมมีความสุขมากที่ตอนนี้ผมใช้เวลาและกำลังทั้งหมดเพื่อนมัสการพระยะโฮวาและทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น แทนที่จะสนองความต้องการของตัวเอง.
“ในที่สุด ผมก็พบจุดมุ่งหมายของชีวิต.”—เอียน คิง
-
ปีเกิด: 1963
-
ประเทศบ้านเกิด: อังกฤษ
-
อดีต: ผิดหวังกับชีวิต
ชีวิตที่ผ่านมา:
ผมเกิดที่อังกฤษ แต่ตอนที่ผมอายุประมาณเจ็ดขวบ ครอบครัวของผมได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย. เราตั้งรกรากที่โกลด์โคสต์ แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของรัฐควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย. ครอบครัวของเราไม่ร่ำรวย แต่เราก็ไม่เคยขาดสิ่งจำเป็นในชีวิต.
แม้ว่าชีวิตในวัยเด็กของผมค่อนข้างสุขสบาย แต่ผมก็ไม่เคยมีความสุขจริง ๆ เลย. ผมรู้สึกผิดหวังกับชีวิต. พ่อของผมเป็นคนดื่มจัด. ผมไม่ค่อยรักพ่อเท่าไรนักเพราะท่านชอบดื่มเหล้าและทำรุนแรงกับแม่. แต่เมื่อผมมารู้ว่าพ่อเคยผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายหลายอย่างตอนเป็นทหารในมลายู ผมจึงเข้าใจว่าทำไมท่านเป็นคนอย่างนั้น.
ผมเริ่มมีนิสัยดื่มจัดช่วงที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย. พออายุ 16 ปี ผมก็ออกจากโรงเรียนไปเป็นทหารในกองทัพเรือ. ผมลองเสพยาหลายชนิดและเริ่มติดบุหรี่. ผมติดเหล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบขาดไม่ได้. จากที่เคยดื่มจนเมาเฉพาะเสาร์อาทิตย์ก็กลายเป็นดื่มทุกวัน.
ช่วงวัยรุ่นตอนปลายจนถึงอายุ 20 ต้น ๆ ผมเริ่มสงสัยว่าพระเจ้ามีจริงไหม. ผมคิดว่า ‘ถ้าพระเจ้ามีจริง ทำไมพระองค์ยอมให้มีความทุกข์และทำไมคนเราต้องตาย?’ ผมถึงกับแต่งกลอนตำหนิพระเจ้าที่ปล่อยให้มีความชั่วช้าเกิดขึ้นในโลก.
ผมลาออกจากกองทัพเรือตอนอายุ 23 ปี. หลังจากนั้น ผมเปลี่ยนงานไปเรื่อยและถึงกับเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งปี แต่ผมก็ยังรู้สึกผิดหวังกับชีวิตอยู่ดี. ผมไม่เคยคิดจะตั้งเป้าหมายหรืออยากประสบความสำเร็จในชีวิต. ไม่มีอะไรทำให้ผมตื่นเต้นและมีความสุขได้อย่างแท้จริง. ความคิดที่จะมีบ้านเป็นของตัวเอง มีงานที่มั่นคง และได้เลื่อนตำแหน่งสูง ๆ เป็นเรื่องไร้สาระสำหรับผม. มีเพียงเหล้าและเสียงเพลงเท่านั้นที่ทำให้ผมมี “ความสุข.”
ผมยังจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ที่ทำให้ผมเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะค้นหาจุดมุ่งหมายของชีวิต. ผมอยู่ที่โปแลนด์ กำลังเยี่ยมชมค่ายกักกันที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายในเมืองเอาชวิทซ์. ผมเคยอ่านเรื่องการทรมานนักโทษในค่ายนี้. แต่เมื่อผมได้มายืนอยู่ที่นี่และเห็นว่า
ค่ายนี้ใหญ่โตแค่ไหน ผมรู้สึกสะเทือนใจจนพูดไม่ออก. ผมไม่เข้าใจเลยว่ามนุษย์ทำสิ่งที่โหดร้ายขนาดนั้นต่อเพื่อนมนุษย์ได้อย่างไร. ผมจำได้ว่าผมน้ำตาคลอเบ้าขณะที่เดินดูรอบ ๆ ค่ายนั้นและถามตัวเองว่า ‘ทำไม?’คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตผมอย่างไร:
ในปี 1993 เมื่อกลับจากต่างประเทศแล้ว ผมเริ่มอ่านคัมภีร์ไบเบิลเพื่อค้นหาคำตอบ. หลังจากนั้นไม่นาน พยานพระยะโฮวาสองคนมาที่บ้านผม และชวนผมไปร่วมการประชุมใหญ่ซึ่งจัดขึ้นที่สนามกีฬาใกล้บ้าน. ผมตัดสินใจที่จะไป.
ผมเคยไปชมการแข่งขันที่สนามกีฬาแห่งนั้นเมื่อสองสามเดือนก่อน แต่บรรยากาศตอนนั้นกับตอนนี้ช่างต่างกันอย่างลิบลับ. พวกพยานฯ สุภาพและแต่งกายเรียบร้อย เด็ก ๆ ก็มีมารยาทดี. แต่ภาพที่ผมเห็นในช่วงพักเที่ยงทำให้ผมรู้สึกทึ่งมาก. พยานฯ หลายร้อยคนนั่งกินอาหารด้วยกันในสนาม แต่เมื่อพวกเขาลุกออกไป ผมไม่เห็นขยะแม้แต่ชิ้นเดียวอยู่ในสนามนั้น! ที่สำคัญคือ ทุกคนที่นั่นดูมีความสุขและความสงบใจซึ่งเป็นสิ่งที่ผมแสวงหามาตลอดชีวิต. ผมจำคำบรรยายที่ได้ยินในวันนั้นไม่ได้เลย แต่ความประพฤติที่ดีงามของพยานฯ ยังประทับใจผมมาจนทุกวันนี้.
เย็นวันนั้น ผมคิดถึงลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่ชอบอ่านคัมภีร์ไบเบิลและศึกษาหลายศาสนา. เมื่อหลายปีก่อน เขาบอกผมว่าพระเยซูตรัสว่าเราจะรู้จักศาสนาแท้ได้โดยดูที่ผล. (มัดธาย 7:15-20) ผมคิดว่าผมน่าจะลองศึกษาดูสักหน่อยว่าอะไรทำให้พยานฯ ต่างกันมากจากศาสนาอื่น. นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มมองชีวิตในแง่ดีและมีความหวังขึ้นมา.
สัปดาห์ต่อมา พยานฯ สองคนที่เชิญผมไปร่วมการประชุมใหญ่ได้กลับมาเยี่ยมผมอีก. พวกเธอชวนผมศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและผมก็ตอบตกลง. ผมเริ่มเข้าร่วมการประชุมคริสเตียนกับพวกเธอด้วย.
การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทำให้ทัศนะที่ผมมีต่อพระเจ้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง. ผมได้รู้ว่าพระองค์ไม่ได้เป็นต้นเหตุของความชั่วช้าหรือความทุกข์ และพระองค์เองก็ปวดร้าวพระทัยเมื่อเห็นมนุษย์ทำสิ่งชั่วร้าย. (เยเนซิศ 6:6; บทเพลงสรรเสริญ 78:40, 41) ผมตั้งใจว่าจะพยายามไม่ทำอะไรให้พระยะโฮวาเสียพระทัย. ผมอยากทำให้พระองค์ปลาบปลื้มยินดี. (สุภาษิต 27:11) ผมเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ และเลิกใช้ชีวิตแบบผิดศีลธรรม. ผมรับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวาในเดือนมีนาคม 1994.
ประโยชน์ที่ได้รับ:
ตอนนี้ผมมีความสุขและความอิ่มใจอย่างแท้จริง. ผมไม่หันไปพึ่งเหล้าเพื่อแก้ปัญหาชีวิตอีกต่อไป. แทนที่จะทำเช่นนั้น ผมเรียนรู้ที่จะมอบภาระไว้กับพระยะโฮวา.—บทเพลงสรรเสริญ 55:22
สิบปีมาแล้วที่ผมได้แต่งงานกับพยานฯ ที่สวยน่ารักชื่อคาเรน และมีลูกเลี้ยงที่น่ารักชื่อเนลลา. เราสามคนมีความสุขที่ได้ทำงานประกาศเผยแพร่ด้วยกันเป็นประจำ และช่วยคนอื่นให้เรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า. ในที่สุด ผมก็พบจุดมุ่งหมายของชีวิต.
^ วรรค 11 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.